Social Icons

Pages

วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ถนอมสายตาหน้าคอม


            ดางตาเป็นสิ่งที่สำคัญ วันนี้ผมเลยจะมาพูดถึงเรื่องการถนอมสายตา หลายคนเป็นเหมือนผมที่ต้องอยู่หน้าจอคอมนานๆ ใช้สายตาไปกับมัน ผมเลยค่อนข้างให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก เลยหาวิธีถนอมสายตามาฝาก

  1. ตำแหน่งของจอภาพควรห่างจากดวงตาประมาณ 18 – 24 นิ้ว (วัดง่าย ๆ ประมาณหนึ่งช่วงแขนและปรับให้ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 15 – 20 องศาค่ะ) ถ้าระยะห่าวของจอภาพกับดวงตาไม่สัมพันธ์กันจะทำให้เกิดอาการเมื่อยล้าและปวดตาได้ง่าย
  2. ปรับแสงและความคมชัดของหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้รู้สึกสบายตา รวมไปถึงปรับความสว่างในที่ทำงาน ลดแสงสะท้อนรบกวน เพราะดังกล่าวจะส่งผลเสียต่อดวงตาได้ง่ายและรวดเร็ว จะรู้สึกว่ามีอาการปวดร้าวดวงตาเร็วและแสบตารุนแรงมากขึ้น
  3.  ควรเลือกจอคอมพิวเตอร์ที่มีการกระจายรังสีต่ำเพื่อถนอมสายตา เราสามารถทดสอบง่าย ๆ ได้โดยลองปิดสวิตซ์จอภาพ แล้วเอามือหรือแขนไปจ่อไว้ใกล้ ๆ จอาภาพ จอที่มีการกระจายรังสีต่ำจะแทบไม่รู้สึกถึงไฟฟ้าสถิตตามขนที่ผิว คืไม่รู้สึกขนลุก
  4. ใช้ผ้าชุบน้ำหมาด ๆ วางไว้บนเปลือกตา และหลับตาพักซัก 2 – 3 นาที หรืออาจจะปิดไฟนอนพักซักครู่ (วิธีนี้พี่เหมี่ยวว่าใช้ที่บ้านน่าจะเหมาะที่สุดนะคะ)
  5. ใช้แผ่นกรองรังสีติดไว้ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ อาจจะช่วยได้ไม่มาก(ขึ้นอยู่กับคุณภาพสินค้า) แต่ก็น่าจะช่วยลดแสงจ้าจากจอคอมพิวเตอร์ลงได้
  6.  ควรกระพริบตาให้บ่อยครั้งกว่าปกติ ภายใน 10 วินาที พยายามกระพริบตาซัก 1 – 2 ครั้ง จะช่วยคลายความอ่อนล้าของสายตาได้
  7.  ผู้ที่ใส่คอนแท็กเลนส์อาจจะเกิดอาการตาแห้งเพราะขาดน้ำหล่อเลี้ยง การหยอดน้ำตาเทียมจะช่วยได้
  8.  ตรวจสุขภาพตาบ่อย ๆ โดยเฉพาะผู้ที่ใส่คอนแท็กเลนส์ และผู้ที่มีอายุ 40 ปี ขึ้นไป ควรไปตรวจเช็คสุขภาพดวงตาด้วยนะครับ
  9.  หยุดพักหรือเปลี่ยนตารางเวลาทำงานใหม่ เพื่อให้สายตาได้พัก 15 นาที ทุก ๆ 2 ชั่วโมง เป็นอย่างน้อย
  10. ทำความสะอาดหน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่เสมอ ที่ต้องทำก็เพราะฝุ่นจะทำให้เกิดการสะท้อนของแสงมากขึ้น

สำหรับคนอดนอน


             วันนี้จะมาพูดถึงเรื่องการอดนอน หลายคนคงเคยอดนอน ไม่ว่าจะเป็นการดูบอล ใกล้สอบ ผมก็เป็นครับประจำเรื่องการอดนอน ผมมีอาชีพเป็นโปรแกรมเมอร์เป็นหลัก และผมชอบทำงานตอนกลางคืนยิ่งดึกยิ่งดีผมคิดว่ามันทำให้ผมมีสมาธิในการทำงาน และเกิดไอเดีย แต่เรื่องที่ตามมาคืนการอดนอน ผมต้องไปทำงานเช้าทุกวัน ก็เลยประสบปัญหาเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน แต่ผมเป็นคนทานอาหารเสริมเยอะมาก มันก็ช่วยผมได้เยอะนะ แต่ที่ผมเอามาฝากเป็นทริคเล็กสำหรับคนที่อดนอนครับหวังว่าคงมีประโยชน์กับใครหลายๆคนที่ชอบทำงานตอนดึกๆเหมือนผมนะครับ


  • ถึงกลางคืนจำเป็นต้องเติมพลังงานให้กับตัวเอง เพราะส่วนอาหารที่เรากินเข้าไปจะใช้ได้ประมาณ 6 ช.ม.เท่านั้น หากกินอาหารเย็น 6 โมง ถึงเที่ยงคืนพลังงานก็หมดแล้ว จะต้องเติมอาหารที่ให้พลังงานเข้าไป ทั้งนี้ ควรเป็นอาหารที่ย่อยง่ายประเภทข้าวต้ม โจ๊ก น้ำข้าว ธัญพืช จะดีกว่าอาหารที่มีไขมันสูงอย่างนมวัว หรือเครื่องดื่มประเภทโกโก้ หรือมอลต์ เนื่องจากเวลาที่จะนอนมีน้อยอยู่แล้วไม่ควรกวนกระเพาะให้ย่อยอะไรที่ย่อยยาก เพราะจะทำให้หลับไม่สนิทดีนัก และมีอาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรตที่ทำให้หลับง่ายกว่า เช่น ข้าวเหนียว กล้วย หากเลือกกินยามดึกได้จะทำให้นอนเร็วกว่า
  • กินอาหารที่อุดมด้วยวิตามินบีและซี เพราะเวลาอดนอนระดับฮอร์โมนจากต่อมไพเนียลปั่นป่วน ทำให้เกิดความเครียดแบบลึกๆ จึงต้องแก้ด้วยวิตามินคลายเครียดประเภทบีและซีปริมาณมาก ดังนั้นในระยะนี้ต้องกินข้าวกล้อง กินผัก ผลไม้ กินน้ำผลไม้คั้นสด น้ำส้มคั้นสดๆ หากกินอาหารประเภทดังกล่าวไม่ได้ ให้ใช้วิตามินบี 100 วันละ 1 เม็ด และกินวิตามินซี 1,000 ม.ก. วันละ 2 เม็ด หลังอาหารเช้า
  • ควรนอนทันทีหลังจากเสร็จจากดูบอล หรือดูหนังสือ ไม่ควรเสียเวลาออกไปหาข้าวต้มรอบดึกกินนอกบ้านเพราะจะยิ่งมีเวลานอนน้อย และควรระลึกไว้ว่าน่าจะมีเวลานอนติดกันประมาณ 4 ชั่วโมง สุขภาพจึงจะไม่เสื่อมทรุดในระยะนี้ ถ้าต้องนอนตี 3 ก็แปลว่าควรจะตื่นตอน 7 โมงเช้าจึงจะดี 
  • ไม่ควรแก้ง่วงด้วยการดื่มกาแฟ หรือชา เพราะกาแฟมีฤทธิ์ 6-8 ชั่วโมง หากกินกาแฟตอน 4 ทุ่มก็แปลว่าจะหลับได้เอาตอนตี 4 ซึ่งจะทำให้เวลาพักผ่อนไม่พอ หากง่วงก็ควรงีบหลับก่อนแล้วค่อยตื่นมาดูหนังสือหรือดูโทรทัศน์เอาตอนดึก 
  • ตื่นเช้าหลังจากอดนอน ควรกระตุ้นตนเองให้กระปรี้กระเปร่าด้วยวิตามินดังที่ได้กล่าวแล้ว หรือจะใช้โสมกินร่วมด้วยก็ดีกว่าดื่มกาแฟ เพราะการใช้วิตามินกับโสมจะทำให้สมองปลอดโปร่งกว่ากินกาแฟ 

ประโยชน์ของแตงกวากับผิว


           จิงๆแล้วผมได้ยินเรื่องสรรพคุณของแตงกวามานานและละ โดยเฉพราะกับเรื่องผิว และหลายๆอย่างตัวผมเองก็มีความสนใจ เลยมาลองหาสรรพคุณของมันอ่านไปอ่าน เออ สรรพคุณมันกับเรื่องผิวนี่ก็ไม่เบานะ ก็เลยเอามาให้คนที่สนใจได้อ่านกันดู บางอย่างผมว่าจะไปลองทำดูว่ามันได้ผลดีอย่างที่ เขาว่ากันไว้หรือป่าว ใครสนใจก็ลองทำกันดูนะครับ



           แตงกวามีน้ำเป็นองค์ประกอบถึงร้อยละ 96 จึงมีคุณสมบัติแก้กระหาย และเพิ่มความชุ่มชื้น และช่วยการกำจัดของเสียตกค้างในร่างกาย
           นอกจากนี้แตงกวามีสารอาหารที่มีประโยชน์ ได้แก่ วิตามินซี กรดคาเฟอิก กรดทั้ง 2 นี้ป้องกันการสะสมน้ำเกินจำเป็นในร่างกาย
           เปลือกแตงกวามีกากใยอาหาร และแร่ธาตุจำเป็น เช่น ซิลิก้า โพแทสเซียม โมลิบดีนั่ม แมงกานีส และแมกนีเซียม

           ซิลิก้าเป็นแร่ธาตุที่เสริมความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ กระดูกอ่อน เส้นเอ็น และกระดูก
ปริมาณเส้นใย ธาตุโพแทสเซียมและแมงกานีสในเปลือกแตงกวาช่วยควบคุมความดันเลือดและความสมดุลของสารอาหารในร่างกาย ธาตุแมกนีเซียมช่วยเสริมการทำงานของระบบประสาท กล้ามเนื้อ และระบบการหมุนเวียนเลือด เส้นใยอาหารควบคุมระดับคอเลสเตอรอลและช่วยระบบขับถ่ายโดยมีพลังงานต่ำเหมาะกับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก

           แตงกวาเป็นผักที่เหมาะกับการกินยามอากาศร้อนเพราะลดความร้อนและช่วยให้ร่างกายสดชื่น มีสารฟีนอลทำหน้าที่ต้านปฏิกิริยาออกซิเดชั่น นอกจากนี้ น้ำแตงกวายังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ แก้ไข้ ลดอาการนอนไม่หลับ ลดกรดกระเพาะอาหาร แก้กระหายน้ำ และลดอาการโรคเกาต์ โรคไขข้อรูมาติสม์ และอาการบวมน้ำอีกด้วย

แตงกวากับสุขภาพและความงาม



ป้องกันสิวและสิวหัวดำ 
           ใช้เนื้อแตงกวาขูดฝอยพอกบริเวณหน้าและคอเป็นเวลา 15-20 นาที บำรุงผิว ถ้าใช้บ่อยจะป้องกันผิวหน้าแห้ง ป้องกันการเกิดสิวและสิวหัวดำ

ผิวหน้าผุดผ่อง
           ใช้น้ำคั้นผลแตงกวาและนมสดปริมาณเท่าๆกัน เติมน้ำลอยกลีบกุหลาบ 2-3 หยด ทาหน้านาน 15-20 นาที ทำให้ผิวหน้านุ่มและขาวขึ้น

ผิวหน้าสดใส
            ใช้น้ำมะนาวเล็กน้อยและน้ำลอยกลีบกุหลาบ (ที่ปลูกเองแบบปลอดสาร ใช้กลีบกุหลาบมากหน่อย น้ำไม่ต้องมาก วัตถุประสงค์คือให้น้ำมันหอมจากกลีบกุหลาบออกมาอยู่ในน้ำ) ผสมกับน้ำคั้นผลแตงกวา ทาบนผิวหน้าเพื่อทำให้ใบหน้าสดใส (โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่มีผิวมัน)

ลบถุงดำใต้ตา
           ใช้น้ำคั้นผลแตงกวา 1 ช้อนโต๊ะผสมน้ำคั้นมันฝรั่ง 1 ช้อนโต๊ะ ทารอบขอบตา พักราว 15 นาทีจึงล้างออก

ลดรอยหมองคล้ำใต้รักแร้
           ผสมน้ำมันมะพร้าว 1 ช้อนโต๊ะ น้ำคั้นผลแตงกวา 1 ช้อนชา น้ำมะนาว 1 ช้อนชา และผงขมิ้นครึ่งช้อนชา หลังจากอาบน้ำเช็ดตัวให้ใช้สำลีชุบน้ำมันมะพร้าวเช็ดบริเวณใต้รักแร้เป็นวงกลม หลังจากนั้นผสมน้ำแตงกวา น้ำมะนาว และผงขมิ้นให้เข้ากัน ทาใต้รักแร้ทิ้งไว้ 20 นาที จากนั้นล้างออกและเช็ดให้แห้ง ทำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง

บำรุงผิว
           ผสมน้ำคั้นแตงกวา น้ำมะนาว น้ำส้ม น้ำแช่กลีบกุหลาบ กลีเซอรีน และน้ำผึ้งอย่างละเท่าๆกัน ใช้ทาผิวให้ตึงกระชับเพิ่มความอ่อนเยาว์

ช่วยการเจริญของผม
          ให้ดื่มน้ำคั้นผลแตงกวาและน้ำแครอตเป็นประจำ ซิลิก้าและกำมะถันในน้ำแตงกวาบำรุงเส้นผม เล็บและผิวหนัง

มิตรแท้ของดวงตา
         หั่นแตงกวาเป็นแว่นตามขวาง หลับตาวางแว่นแตงกวาลงบนเปลือกตา นอนในที่เงียบแสงสลัวๆ จะบรรเทาอาการเหนื่อยล้าของดวงตา ที่เกิดจากการใช้งานนานๆ ได้รับฝุ่นควัน แสงจ้า หรือใส่คอนแท็กเลนส์นานเกินไป

ทรีตเม้นท์ลดความเสียหายของผมจากคลอรีน
          ผสมไข่ 1 ฟอง น้ำมันมะกอก 3 ช้อนชา และแตงกวาปอกแล้ว 1 ส่วน 4 ผล ชโลมบนเส้นผม ทิ้งไว้ 10 นาทีจึงล้างออก

ลบรอยด่างดำ
          การดื่มน้ำคั้นผลแตงกวาจะช่วยลดรอยด่างดำบนผิวหนัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งร่องรอยยุงกัด และให้ทาน้ำแตงกวาผสมน้ำลอยกลีบกุหลาบอัตราส่วนเท่าๆ กันด้วย

         ฟังสรรพคุณมามากแล้ว วันนี้ไปลองดื่มน้ำคั้นผลแตงกวากันดีกว่า
แตงกวา 2 ผลหรือแตงร้านหนึ่งผล น้ำ 2 ถ้วย น้ำแข็ง 1 ถ้วย น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะหรือตามชอบ น้ำมะนาวครึ่งผล ใส่เครื่องปั่นจนเป็นเนื้อเดียวกัน อาจใส่ผลไม้อื่นด้วยเช่นแคนทาลูปหรือแตงโม ถ้าใส่ผลไม้อื่นสามารถลดน้ำตาลได้อีกด้วย หรืออาจใช้น้ำเพียง 1 ถ้วย ปั่นแล้วเทใส่แก้วเติมโซดาเย็น 1 ถ้วยก็ได้

วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ประโยชน์ขององุ่นกับผิว

        
              วันนี้จะมาพูถึง สารสกัดจากเมล็ดองุ่น หรือ Grape Seed เชื่อว่าคนที่ทานอาหารเกี่ยวกับผิวคงจะเคยได้ยินหรือว่าได้ทานกันมาบ้างแล้วละ อาหารเสริมที่ผมว่าคือ  Grape Seed แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าจริงแล้วมันมีประโยชน์อะไรกับเราบ้าง แล้วกับผิวเราละมีประโยชน์อะไร ผมเลยเอามาฝาก ส่วนตัวผมก็ทานอาหารเสริมที่มีส่วนผสมตัวนี้อยู่เหมือนกันครับ โอเคเลยละ พลังองุ่น มาดูกันเลยครับว่าดีอย่างไรทำไมคนถึงเลือกที่จะทานกัน
  


             องุ่นแดง จัดเป็นราชินีแห่งผลไม้ทุกชนิด  สีแดงเข้มของผลองุ่นประกอบด้วยสารฟลาวโวนอยด์  ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ องุ่นแดงมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ  เช่น วิตามิน ซี, บี, โปรตีน, สารแอนโธไซยานิน, แมงกานีส, โปแตสเซียม และอื่น ๆ  มีแคลอรี่ต่ำ แต่ใยอาหารสูง  ช่วยป้องกันโรคหัวใจ, โรคมะเร็ง  เสริมสร้างร่างกายให้ต่อต้านเชื้อโรค และสมานแผลได้

             การวิจัย ที่ทำการทำลอง ถึงผลของการบริโภค องุ่นแดง ว่าสามารถ ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับกระดูก และ ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคกระดูกพรุน ได้หรือไม่ โดยทำการทดลองกับหนูซึ่งได้รับการทำหมัน ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุน และให้องุ่นแดงเสริมไปในอาหาร และทำการเปรียบเทียบกับหนูที่ไม่ได้รับองุ่นแดง หนูที่ได้รับอาหารปกติ แคลเซียมและแร่ธาตุในกระดูกลดลง และยังมีภาวะกระดูกเปราะมากกว่าหนูที่ได้รับอาหารปกติ แต่ในการบริโภคองุ่นแดง เพื่อป้องกันโรคกระดูกพรุนนั้น ต้องอยู่ปริมาณที่เพียงพอและเหมาะสม


             ในผลองุ่นมีวิตามินและสารอาหารมากมาย โดยเฉพาะที่เปลือกและเมล็ด อย่างที่เราเคยได้ยินถึงการสกัดน้ำมันจากเมล็ดองุ่นมาเป็นส่วนผสมในครีม บำรุงผิวหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต่างๆ น้ำมันนี้ช่วยให้ผนังหลอดเลือดแข็งแรง ลดความเสี่ยงต่อการจับตัวของก้อนเลือด และลดโคเลสเตอรอลชนิดแอลดีแอล (ไขมันไม่ดี) จึงช่วยป้องกันโรคเกี่ยวกับระบบเลือดและหัวใจได้ดี นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติช่วยลดริ้วรอยและทำให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่นมากขึ้น

             ส่วนวิตามินต่างๆที่พบในองุ่นนั้นก็มีมากมายหลายชนิด ทั้งวิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 และเกลือแร่ชนิดต่างๆ ซึ่งช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสดชื่นได้เร็ว ส่วนหนึ่งเพราะน้ำตาลในองุ่นเป็น น้ำตาลที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้เลย จึงช่วยเร่งการเผาผลาญในร่างกาย และกระตุ้นให้ตับทำหน้าที่ฟอกเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

             มีผลจากการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์แห่งเมืองนิวยอร์กพบว่า ในองุ่นจะมีสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่า Polyphenols ซึ่งส่วนใหญ่เราจะสามารถบริโภคได้ในรูปของน้ำองุ่นหรือไวน์แดง สาร Polyphenols นี้มีส่วนช่วยให้คนเรามีอายุสมองที่ยาวนานขึ้นและแข็งแรง ทำให้สามารถทำงานและจดจำสิ่งต่างๆได้เป็นอย่างดีถึงแม้จะอายุมากแล้วก็ตาม

เพิ่มคอลลาเจนด้วยสารสกัดจากเมล็ดองุ่น
              สารสกัดจากเมล็ดองุ่น หรือ Grape Seed นั้นได้จากส่วนผิวของเมล็ดองุ่นแดงชนิดเดียวกับที่นำมาทำไวน์ อุดมด้วยฟลาโวนอยด์และไฟโตเคมิคอล ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องเซลล์จากการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น  ฟลาโวนอยด์ในสารสกัดจากเมล็ดองุ่นที่สำคัญที่สุดคือ โพรอันโธอานิดินส์ (Proanthocyanidins) หรือ PCOs ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่ระบบไหลเวียนโลหิตทำให้เส้นเลือดแข็งแรงขึ้น ป้องกันการเกิดโรคหัวใจและโรคมะเร็ง

 ประโยชน์กับผิว
              ด้วยคุณประโยชน์จากสารสกัดใบองุ่นแดง ที่โดดเด่นในการป้องกัน และรักษาอาการบวมน้ำในร่างกาย ทั้งยังช่วยเพิ่มความกระชับแก่ผิว โดยยับยั้งการทำลายอีลาสตินใต้ผิวได้ถึง 90% เนื้อ ผิวกลับมีความกระชับ การไหลเวียนใต้ชั้นผิวดีขึ้น ผิวที่สวยงามจะต้องมีความยืดหยุ่น และแข็งแรง นอกจากนั้นผิวของเรายังต้องการสารต้านอนุมูลอิสระเพื่อป้องกันการทำลาย ผิวจากมลพิษรอบตัว รวมทั้งรังสียูวีด้วย

คอลลาเจน (Collagen) ประโยชน์กับผิว


              หลายคนคงเคยได้ยิน และผมเชื่อว่าหลายคนคงเคยทานมากันมั้งแล้ว สิ่งที่ผมจะพูดถึงคือ คอลลาเจน (Collagen) เอ้ แล้วไอ้ คอลลาเจน นี่มันมีประโยชน์กับผิวอย่างไร ทำไมคนถึงให้ความสนใจกันมากมายถึงขนาดนี้ ผมเลยไปหาคำตอบมาฝาก จะได้หายสงสัยหรือว่าใครก็ตามที่กินเข้าไปแต่ไม่รู้จริงว่ามีประโยชน์อะไร กับผิวเราอย่างไรบ้าง แล้วที่มามันมาจากอะไร ซึ่งตัวผมเองก็สนใจอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของ คอลลาเจนนี้เหมือนกัน มาดูกันเลยครับ เผื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจของใครหลายๆคนที่กำลังมองหาคอลลาเจนทานเหมือนผม


             คอลลาเจนคือโปรตีนชนิดหนึ่งของร่างกาย ทำหน้าที่เป็นตัวประสานเนื้อเยื้อของผิวหนังเชื่อมต่ออวัยวะทุกส่วนของร่างกายไว้ด้วยกัน ทั้งผิวพรรณกระดูกและผนังหลอดเลือด ร่างกายคนเราจะมีคอลลาเจนถึง 1 ใน 3 ส่วนของโปรตีนทั้งหมดที่มีอยู่ในร่างกาย

             คอลลาเจนไม่เพียงแต่เป็นส่วนประกอบหลักของชั้นผิวหนัง(เคราติน) ถึง 70% เท่านั้น อวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายของเราก็มีคอลลาเจนเป็นส่วนประกอบอยู่มาก เช่น กระดูกอ่อน เส้นเอ็น ข้อต่อ กระดูก

             เคราตินมีหน้าที่สร้างความแข็งแรงและความยืดหยุ่นให้ผิวหนังกระชับเรียบตึง ถ้ามีคอลลาเจนไม่เพียงพอสารเคราตินในชั้นผิวหนังจะลดลง จึงทำให้ผิวเกิดริ้วรอยแห่งวัย หย่อนคล้อย และขาดความชุ่มชื่น

คอลลาเจนเปปไทด์ (Collagen Peptide) ได้จากปลาทะเล

            คอลลาเจน เป็นโปรตีนที่มีโครงสร้างโมเลกุลขนาดใหญ่มากร่างกายสามารถดูดซึมได้ยาก จึงมีการนำคอลลาเจนมาผ่านกระบวนการไฮโดรไลซ์ คอลลาเจนจะแตกตัวเป็นลักษณะของเจลาติน และนำมากลั่นกรองให้เป็นคอลลาเจนเปปไทด์ ที่มีขนาดโมเลกุลที่เล็กกว่าขนาดโมเลกุลของคอลลาเจนปกติถึง 1/60 ช่วยให้ง่ายต่อการดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย

ประโยชน์ของคอลลาเจน

            คอลลาเจน (Collagen) มีรากศัพท์มาจากภาษากรีกคือ Kolla ซึ่งแปลว่ากาวคอลลาเจน เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่ประสานกันเป็นเส้นใยอยู่ใต้ชั้นผิวหนังแท้ ทำหน้าที่ เสริมความเรียบตึงให้แก่ผิวหนัง ทำให้ผิวหนังดูเรียบ เนียนในวัยเด็ก คอลลาเจน ยังไม่เสื่อมสลายและมีจำนวนมาก จึงทำให้เห็นว่าเด็ก ๆ หรือวัยรุ่นที่กำลังแตกเนื้อหนุ่มสาวมีผิวหนังที่เต่งตึง แต่เมื่อมีวัยมากขึ้น เส้นใย คอลลาเจน เหล่านี้จะเสื่อมสลายและมีปริมาณลดลง ทำให้ชั้นผิวหนังยุบตัวลง อันเป็นต้นเหตุของความเหี่ยวย่นและริ้วรอย ยิ่งสูงวัยขึ้นเท่าใด ริ้วรอยแห่งวัยก็เห็นชัดขึ้นเท่านั้น ริ้วรอยแรกที่มาเยือนที่เป็นที่รู้จักกันดีก็คือ รอยตีนกา เนื่องจากผิวหนังรอบดวงตามีความบอบบางมาก อีกทั้งกล้ามเนื้อรอบดวงตาก็เป็นกล้ามเนื้อวงกลม ไม่มีอะไรยึด ผิวรอบดวงตาก็เลยจะเหี่ยวมากกว่าที่อื่น

           อย่างไรก็ตาม เราสามารถเสริมสร้าง คอลลาเจน ให้แก่ร่างกายได้เพื่อลดรอยเหี่ยวย่น ด้วยการรับประทาน คอลลาเจน หรือ วิธีการฉีด คอลลาเจน เข้าใต้ชั้นผิวหนังแท้ แต่วิธีการฉีดนั้นค่อนข้างจะยุ่งยาก เพราะต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญ ดังนั้นวิธีการรับประทานจึงเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด

           คอลลาเจน มีส่วนช่วยในการป้องกันอวัยวะในร่างกาย และเชื่อมอวัยวะต่างๆ ให้อยู่ด้วยกัน ช่วยให้โครงสร้างของร่างกายแข็งแรง และยืดหยุ่นดี ช่วยให้ข้อต่อต่างๆ ขยับเคลื่อนไหวไปมาไม่ติดขัด โดยเฉพาะข้อต่อในการรับน้ำหนักและขยับเคลื่อนไหวในอิริยาบถต่างๆ เช่นเดินหรือวิ่ง เป็นต้นนอกจากนี้คอลลาเจนยังเป็นตัวช่วยให้ผิวพรรณเกิดความชุ่มชื้น เสริมความเรียบตึงให้กับผิวหนัง ทำให้ผิวดูเรียบเนียนกระชับ โดยทำงานคู่กับโปรตีนอีกชนิดหนึ่งที่ชื่อ “ อิลาสติน ” ( Elastin ) ในขณะที่ คอลลาเจน มีหน้าที่เสมือนโครงร่างผิว อีลาสติน ก็ทำหน้าที่ให้ความยืดหยุ่นแก่ผิว ควบคู่กันไปด้วย

           ร่างกายของคนเรานั้นจะมี คอลลาเจน หนาแน่นในวัยเด็ก และจะค่อยๆ เสื่อมสภาพลงตามกาลเวลา จึงเห็นได้ว่าเมื่ออายุมากขึ้น เส้นใยคอลลาเจน เหล่านี้จะเสื่อมสลาย ทำให้ชั้นผิวหนังยุบตัวลงอันเป็นสาเหตุของความเหี่ยวย่นและริ้วรอย รวมถึงการเกิดปัญหาข้อเสื่อม กระดูกเสื่อม อันเนื่องมาจาก คอลลาเจน ใน กระดูก ลดลง ทำให้ กระดูก ไม่สามารถรับน้ำหนักได้ ขาดความยืดหยุ่น เปราะหักง่าย เป็นต้น

          โดยพบว่าคนที่มีอายุ 25 ขึ้นไป จะมีปริมาณ คอลลาเจน ลดลงทุกปี ปีละ 1.5% อย่างไรก็ตาม เราสามารถเสริมสร้าง คอลลาเจน ให้ร่างกายได้ ด้วยการฉีด คอลลาเจน เข้าใต้ชั้นผิวหนังแท้ และอีกวิธีที่ง่ายและสะดวกคือ การรับประทาน คอลลาเจน เพื่อช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของชั้นผิวหนังและเพื่อเสริมให้กระดูกแข็งแรง ควรรับประทาน คลอลาเจน ควบคู่กับวิตามินซี เพราะจะช่วยให้คอลลาเจนถูกดูดซึมได้ดีขึ้น  และทานแคลเซียม เสริมจะช่วยป้องกัน ภาวะกระดูกพรุนได้

เติมความเปล่งปลั่งให้ผิวหน้า


             คืนชิวิตชีวิตให้กับผิวด้วยวิธีง่ายๆ ไม่ต้องลงทุนอะไรมากมาย ใช้ได้ในชีวิตประจำวัน แค่เพียงทำมันเป็นประจำและสม่ำเสมอ เพียงเท่านี้หน้าของเราก็จะแลดูมีน้ำมีนวล สดใส เปล่งประกลาย กันเลยทีเดียว เคล็ดลับง่ายๆที่ใช้ได้ผล
         

ใช้น้ำเย็นล้างหน้าหลังทำความสะอาดผิวหน้าเสร็จแล้ว
เพราะความเย็นจะช่วยทำให้รูขุมขนหดตัวลง แถมยังช่วยให้ผิวหน้ารู้สึกสดชื่นและดูเปล่งปลั่งขึ้นด้วย

เวลาทำความสะอาดผิวหน้าและทามอยสเจอไรเซอร์
ควรใช้ปลายนิ้วนวดผิวหน้าเบาๆ ไปด้วย เพื่อช่วยระบายของเสียที่คั่งค้างอยู่ในผิวออกไป พร้อมกับกระตุ้นระบบไหลเวียนของเลือดให้ทำงานดีขึ้น

อย่าลืมหาเวลาไปนวดหน้า
ที่สปาหรือจะทำเองที่บ้านก็ได้ซักเดือนละครั้ง เพื่อช่วยสร้างความผ่อนคลายให้แก่ผิวหน้า พร้อมๆกระตุ้นให้ผิวหน้าดูเปล่งปลั่งกระจ่างใสขึ้นด้วย

ควรใช้สครับขัดผิวหน้าเป็นประจำทุกสัปดาห์
โดยเลือกสครับแบบที่มีผงขัดเม็ดเล็กๆ ซึ่งจะอ่อนโยนต่อผิวหน้ามากกว่า โดยนวดลงบนผิวหน้าซักสองสามวินาทีก่อนจะเติมน้ำลงไปแล้วขัดต่ออีกรอบ วิธีนี้จะช่วยขจัดเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วออกไปได้มากกว่าการใช้สครับกับน้ำ เพียงรอบเดียว

ค่า SPF & PA ในครีมกันแดด





              หลายคนคงเคยสงสัยเหมือนผมว่าไอ้ค่า  SPF & PA  ที่อยู่ในครีมกันแดดมันคืออะไร แล้วค่าต่างๆมันต่างกันอย่างไร วันนี้ผมเลยหาตอบคำมาฝาก จะได้หายสงสัยกันสักที และจะได้สามารถตัดสินใจเลือกใช้ครีมกันแดดกันได้อย่างเหมาะสมกับสภาพแดดที่เผชิญ


             PA หรือ Protection Grade of UVA ในขณะนี้ยังไม่มีหน่วยวัดที่เป็นมาตรฐานในการวัดค่าการดูดซึมของรังสี UVA ดังนั้นจึงถือเอาคำว่า PA เป็นหน่วยวัดรังสี UVA อย่างไม่เป็นทางการ

ค่า PA นั้นจะมี 3 ระดับคือ

PA+ หมายถึง มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA
PA++ หมายถึง มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA สูง
PA+++ หมายถึง มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA สูงสุด

             SPF หรือ Sun Protection Factor เป็นค่าระดับการปกป้องผิวจากรังสี UVB หรือ จำนวนเท่าของเวลาที่ผิวทนต่อรังสีอัลตราไวโอเลตนี้ได้หลังจากทาครีมกันแดดแล้ว
ปกติผิวของเราจะรับแสงแดดได้โดยปราศจากครีมกันแดดได้ประมาณ 20-30 นาที
ถ้าครีมกันแดดระบุไว้ว่า SPF30 ก็จะหมายถึง เราสามารถอยู่กลางแดดได้ประมาณ 30×30 = 900 นาที หรือ 15 ชั่วโมง โดยที่ผิวไม่ไหม้แดง

            แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การคำนวณอาจคลาดเคลื่อนได้ เนื่องจากครีมกันแดดที่ทาบนผิวอาจลบเลือนไปเมื่อเหงื่อออก โดนน้ำ หรือทำกิจกรรมต่างๆในชีวิตประจำวัน
ดังนั้น ทางที่ดีที่สุดควรทาครีมซ้ำทุก 2 ชั่วโมง เพื่อให้ประสิทธิภาพในการป้องกันแดดเป็นไปอย่างต่อเนื่อง

SPF15-30 เพียงพอสำหรับคนทั่วๆ ไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนในแถบเอเชียอย่างเรา

ค่า SPF แต่ละค่า

• ค่า SPF เท่ากับ 2 จะดูดซับ UVB ได้ 50%
• ค่า SPF เท่ากับ 4 จะดูดซับ UVB ได้ 75%
• ค่า SPF เท่ากับ 8 จะดูดซับ UVB ได้ 87.5%
• ค่า SPF เท่ากับ 15 จะดูดซับ UVB ได้ 93.3%
• ค่า SPF เท่ากับ 20 จะดูดซับ UVB ได้ 95%
• ค่า SPF เท่ากับ 30 จะดูดซับ UVB ได้ 96.7%
• ค่า SPF เท่ากับ 45 จะดูดซับ UVB ได้ 97.8%
• ค่า SPF เท่ากับ 50 จะดูดซับ UVB ได้ 98%

จะเห็นว่า SPF 15 เป็นต้นไป มีค่าการดูดซับแสงได้มากกว่า 90% ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับการป้องกันที่ดีมาก ค่า SPF

ฟื้นฟูผิวหลังถูกแดดเผา




           ผมเชื่อว่าหลายคนคงเคยประสบปัญหาโดนแดดเผา แม้กระทั่งตัวผม ที่ชอบลุยสู้แดด จะแรงแค่ไหนไม่สน ขอมันส์ไว้ก่อน อะไรประมาณนั้นเลย จนทำให้ผิวดูคล้ำลง ทำให้เสียความมั่นใจกันเลยทีเดียว แล้วต้องการให้ผิวกลับมาสภาพที่ดีอย่างเดิมอย่างรวดเร็ว ผมจึงมีทริคการดูแลผิว หลังจากโดนแดดเผา มีวิธีการดูแลอย่างไรไปดูกันครับ เป็นวิธีง่ายๆครับ


  • ป้องกันผิวอย่างสม่ำเสมอ

และข้อสุดท้าย คราวหน้า ถ้าอยากจะสนุกริมหาด หรือบริเวณแดดแรงๆ อย่าลืมปกป้องผิวของคุณก่อนด้วยครีมกันแดด และถ้าลงไปเล่นน้ำก็อย่าลืมทาครีมเพิ่มลงไปทุกครั้งที่ขึ้นจากน้ำแล้วยังไม่ ได้เข้าไปในที่ร่ม ทาครีมให้ทั่วใบหน้าและผิว บางส่วนเช่นหลังหูมักจะถูกลืมเสมอๆ สำหรับสาวๆ มือใหม่หัดตากแดด

  • หยุดเกา

อันนี้อาจจะยากสำหรับบางคน แต่การเกาหรือแกะผิวหนังที่ลอกออก อาจจะทำให้ผิวหนังส่วนที่ยังดีหลุดติดออกมาด้วย และอาจทำให้เกิดแผลเป็นขึ้นมาได้ วิธีการบรรเทาอาการคันทำได้โดยใช้การประคบน้ำแข็งค่ะ

  • ดื่มน้ำเยอะๆ

เมื่อผิวหนังของคุณเริ่มเสียหายไป การรักษาให้กลับมาดีใหม่ก็ต้องเริ่มจากร่างกายของคุณ ดื่มน้ำเยอะๆ เพื่อให้ร่างกายไม่ขาดน้ำ เพื่อเสริมสร้างความชุ่มชื้นของผิวหนัง น้ำประมาณ 8-10 แก้วต่อวันในช่วงนี้จะดีต่อผิวพรรณของคุณ

  • ทาครีมบำรุงผิว

หาครีมทาผิวที่มีส่วนผสมของว่านหางจระเข้ทาเพื่อให้ความชุ่มชื้นติดอยู่กับ ผิวให้นานที่สุด สารสกัดจากว่านหางจระเข้ซึ่งเป็นสมุนไพรธรรมชาติมีคุณสมบัติช่วยในการรักษา แผล และผิวหนัง

  • ทำให้ผิวเย็นลง

เมื่อเริ่มรู้สึกว่ามีอาการผิวหนังเริ่มลอก ให้พยายามทำให้ผิวหนังเย็นลง การอาบน้ำเย็นแล้วซับด้วยผ้าขนหนูนุ่มๆ หนาๆ จะช่วยให้ผิวคุณชุ่มชื่นขึ้น แต่อย่าใช้การเช็ดหรือถูผิวให้แห้งนะคะ ยิ่งจะทำให้ผิวหนังลอกออกไปมากขึ้น

สิ่งที่ผิวต้องการทุกๆวัน



            คุณเคยทราบไหมว่าทุกๆวันผิวเราต้องการอะไรแล้วเรา ทำอะไรให้กับผิวบ้าง เป็นส่วนสำคัญในการดูแลรักษาผิวของเราให้ดูสุขภาพดีอยู่ตลอดเวลา มาดูกันว่าทุกๆวันผิวเราต้องการอะไรแล้วเราทำสิ่งเหล่านี้ให้กับผิวของคุณทุกๆวันแล้วหรือยัง


  • การนวด

          การนวดจะช่วยกระตุ้นระบบหมุนเวียนในผิวซึ่งคุณสามารถทำได้ในขณะทาครีม โดยใช้นิ้วมือถูเบาๆ เป็นแนววงกลมวันละแค่หนึ่งนาทีก็เพียงพอแล้ว

  • น้ำ

          ถึงแม้การดื่มน้ำจะไม่ได้ช่วยให้ผิวอิ่มเอิบขึ้นมาโดยตรงแต่ถ้าคุณดื่มน้ำไม่เพียงพอในแต่ละวันก็จะส่งผลให้ผิวดูหม่นหมองได้

  • สารต่อต้านอนุมูลอิสระ

          ที่มีอยู่ในวิตาวินเอ ซี และอีซึ่งจะช่วยทำให้ผิวของคุณดูเปล่งปลั่งออกมาจากข้างใน วิตามินพวกนี้มีอยู่มากในผักและผลไม้

  • ความชุ่มชื้น 

          ซึ่งหาได้จากครีม น้ำมัน หรือโลชั่น โดยจะช่วยเติมความชุ่มชื้นหลังล้างหน้า และปกป้องผิวจากปัจจัยต่างๆ ด้วย

  • ครีมกันแดด

          คุณจำเป็นต้องปกป้องผิวเป็นประจำทุกวันโดยทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF30 เป็นอย่างน้อยในบริเวณที่ไม่มีอะไรปกปิด ไม่ว่าวันนั้นฝนจะตกหรือแดดจะออกหรือไม่

เคล็ดลับดูแลผิว 5 ขั้นตอน


            วันนี้ผมเอาขั้นตอนของการดูแลผิวมาฝาก เป็น 5 ขั้นตอนที่ผมคิดว่ามีประโยชน์มากครับ เป็นการดูแลสุขภาพผิวแบบง่ายๆและสามารถทำได้ทุกๆวัน ถ้าทำได้ตามขั้นตอนนี้ทุกๆวันผมเชื่อว่าจะเห็นการเปลี่ยนแปลงของผิวไปในทางที่ดีขึ้นอย่างแน่นอนครับ ลองเอาไปทำกันดูนะครับ



  •  ทำอารมณ์ให้แจ่มใสอยู่เสมอ


           แม้อารมณ์จะมีความสำคัญโดยอ้อมกับผิวพรรณ แต่ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญ เพราะถ้าอารมณ์หงุดหงิด โกรธง่ายจะทำให้ระบบการไหลเวียนเลือดไม่ดี ท้องอืดเฟ้อ อาหารไม่ย่อย ไม่อยากอาหาร ซึ่งจะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ จึงส่งผลให้สุขภาพผิวแย่ไปด้วย

  • ออกกำลังกาย

           การออกกำลังกายอย่างเหมาะสมจะช่วยให้โลหิตนำพาออกซิเจนไปเลี้ยงทั่วร่างกายได้ดีขึ้น ทั้งยังช่วยขับถ่ายพิษหรือของเสียออกจากร่างกายทางเหงื่อได้ ผิวพรรณจึงดูสดใส เปล่งปลั่ง และมีเลือดฝาด

  •  กินอาหารที่มีประโยชน์ต่อผิวพรรณ

            อาหารเป็นสิ่งสำคัญต่อผิวมากกว่าเครื่องสำอางใดๆ ดังนั้นเราจึงควรเลือกอาหารที่จะช่วยดูแลสุขภาพผิวพรรณอย่างถูกต้อง เช่น อาหารอุดมวิตามินเอ เช่น นมสด ผลิตภัณฑ์จากนม ตับ ฟักทอง แคร์รอต ผักบุ้ง ตำลึง อาหารพวกนี้นอกจากจะช่วยทำให้ผิวสวยแล้ว ยังช่วยซ่อมแซมและสร้างเนื้อเยื่อในร่างกายอีกด้วย

           • อาหารอุดมด้วยวิตามินบี เช่น เนื้อปลา เป็ด ไก่ ถั่วเมล็ดแห้งต่างๆ
           • อาหารอุดมด้วยวิตามินซี เช่น ผักผลไม้ทั้งหลาย วิตามินซีในผักผลไม้จะช่วยทำให้ผิวหนังยืดหยุ่น กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
           • อาหารอุดมด้วยวิตามินอี เช่น จมูกข้าวสาลี ธัญพืชต่างๆ วิตามินอีจะช่วยทำให้ผิวเรียบเนียน ป้องกันแผลเป็น
           • น้ำมันปลา ซึ่งมีกรดไขมันโอเมกา-3 จะช่วยฟื้นฟูผิวให้ดูมีสุขภาพดี• ดื่มน้ำให้ได้วันละ 2 ลิตร หรือ 6-8 แก้วต่อวัน เพื่อให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว

  • พักผ่อนให้เพียงพอ

          การพักผ่อนให้เพียงพอจะช่วยทำให้ใบหน้าดูสดใสเต่งตึง เนื่องจากผิวได้รับการซ่อมแซมในระหว่างหลับอย่างเต็มที่ การพักผ่อนในที่นี้ยังรวมถึงการผ่อนคลายในรูปแบบต่างๆ ด้วย เช่น การเล่นโยคะ บริหาร่างกาย นั่งสมาธิ อ่านหนังสือ เป็นต้น
  •  ดูแลความสะอาดของผิวพรรณ
           เป็นวิธีช่วยเพิ่มเสน่ห์ของผิวพรรณได้อีกทางหนึ่ง เพราะจะทำให้ผิวสดชื่นปลอดจากเชื้อโรคหรือเชื้อราที่ทำให้เกิดโรคผิวหนัง การอาบน้ำอุ่นอุณหภูมิพอเหมาะ (ประมาณ 38 องศาเซลเซียส) จะช่วยทำความสะอาดผิวหนังได้ดีมาก และยังกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด แต่หากอาบน้ำอุ่นจัดเป็นเวลานานเกินไปอาจทำให้อ่อนเพลียได้ง่าย สำหรับสบู่ที่ใช้ทำความสะอาดผิวควรมีค่า pH5 หรือน้อยกว่านั้นและควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์อาบน้ำชนิดโฟม เพราะทั้งสบู่ที่มีฤทธิ์แรงและโฟมจะทำลายไขมันตามธรรมชาติที่เคลือบอยู่บนผิว ทำให้ผิวแห้ง หลังอาบน้ำควรทาครีมบำรุงผิวให้ทั่วตัว เพื่อรักษาความชุ่มชื้นให้กับผิว

ผลไม้ช่วยบำรุงเลือด


1.ทับทิม



               ผล การวิจัยในสหรัฐพบว่า ทับทิมสามารถรักษาผู้ป่วยเบาหวานได้ด้วยคุณสมบัติช่วยกักเก็บเซลล์เม็ดเลือด แดง โดยให้ผู้ป่วยเบาหวานจำนวน 10 คนดื่มน้ำทับทิมคั้นสดวันละ 1 แก้ว (6 ออนซ์) เป็นเวลา 3 เดือน ผลคือร่างกายมีระดับอินซูลินในกระแสเลือดลดลง ระบบไหลเวียนโลหิตเป็นปกติขึ้น อาการมึนงง อ่อนเพลีย และผมร่วงลดลง อีกทั้งผิวพรรณก็สดใสขึ้นกว่าเดิม

 2.แก้วมังกร

              อุดม ด้วยโปรตีนจึงช่วยเติมร่องรอยผิวให้ดูเรียบตึง ผลการวิจัยพบว่า แก้วมังกรเนื้อแดงดีต่อระบบไหลเวียนโลหิต และมีธาตุเหล็กอยู่ในปริมาณที่เหมาะสมสำหรับการสร้างเซลล์เม็ดเลือด นอกจากนี้ไฟเบอร์ในผลแก้วมังกรยังช่วยฟื้นฟูความแข็งแรงบริเวณช่องคลอด บรรเทาอาการตกขาวที่ผิดปกติ (มีสีเหลืองปนหนอง ปนเลือดและมีกลิ่นเหม็น)

 3.สตรอว์เบอร์รี่

              ด้วย คุณสมบัติของวิตามินซีที่อุดมอยู่ในผลสตรอว์เบอร์รี ช่วยบำรุงเซลล์เม็ดเลือดแดง เมล็ดเล็กๆ ที่อยู่ในเนื้อสตรอว์เบอร์รีช่วยลำเลียงออกซิเจนในกระบวนการขจัดเลือดเสีย จากผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Food Chemistry พบว่าอาสาสมัครผู้บริโภคสตรอว์เบอร์รีสดทุกวันประมาณ 2 ถ้วยตวงติดต่อกันนาน 1 เดือน มีผลการตรวจเลือดพบว่าเซลล์เม็ดเลือดแดงเพิ่มขึ้นอย่างเป็นปกติมากขึ้นคือ 4, 8, 12, 16 เซลล์จึงส่งผลให้ผิวพรรณภายนอกดูเรียบเนียนเปล่งปลั่งขึ้น

 4.กล้วย



                ด้วย คุณสมบัติของแร่ธาตุแมกนีเซียมที่อุดมอยู่ในกล้วย ช่วยบำรุงผิวที่ขาวซีดให้กลับมาเปล่งปลั่งดูมีเลือดฝาด จากผลการวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ใน American Journal of Epidemiology เผยว่าการบริโภคกล้วยเป็นประจำทุกวันส่งผลต่อสุขภาพเลือดคือ ช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคลูคีเมีย (มะเร็งเม็ดเลือดขาว) โดยเฉพาะในเด็กช่วงอายุ 0-2 ปี

 5.แตงโม




              จาก ผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยเนราดาในสหรัฐเผยว่า หากบริโภคแตงโมเพียงครึ่งผลต่อวันดีต่อระบบไหลเวียนโลหิต เพราะกรดอะมิโนอาร์จีโนน์ (Arginine) ที่ร่างกายเปลี่ยนให้เป็นสารในตริกออกไซด์ (Nitric oxide) ทำให้เลือดสมบูรณ์ขึ้นถึงร้อยละ 22 จึงช่วยป้องกันภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย และภาวะหลอดเลือดแข็งตัว

วิธีทําให้ผมยาวเร็ว โดยธรรมชาติ





                อันนี้เป็นเคล็ดลับที่ผมหาอ่านมาจากเน็ต คือที่ผมต้องหาบทความเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้อ่าน คือมีวันหนึ่งผมไปตัดผมมาแล้วมันสั้นเกินไป ผมเลยพยายามหาวิธีที่ทำให้ผมยาวเร็วๆโดยวิธีที่เป็นธรรมชาติ ก็เลยไปเจอบทความหนึ่งที่น่าสนใจเลยทีเดียวก็เลยเอามาให้อ่านเผื่อเป็นประโยชน์แก่คนผมสั้นที่อยากให้ยาวเร็วๆนะครับ

เคล็ดลับที่ 1 การออกกำลังกายให้กับผม รากผม วิธีนี้เป็นวิธีการง่ายๆไม่ยุ่งยาก เนื่องจากเส็นผมของคนเราถูกยึดติดกับหนังศรีษะด้วยรากผม เราสามารถบริหารรากของผม ได้โดยการก้มศรีษะค้างไว้เป็นเวลา 30 วินาที สลับกับปกติ ไม่แนะนำให้ทำนานนะจ๊ะ เพราะเดี๋ยวจะหน้ามืดหรือเลือดตกหัวเอา อิอิ

เคล็ดลับที่ 2 นวดหนังศรีษะ การนวดหนังศรีษะเป็นการกระตุ้นการไหลเวียนเลือดได้เป็นอย่างดี สำหรับการปฏิบัติไม่ยากเลย เพียงแค่นวดศริษะเบาๆในขณะที่ทำการสระผม แต่หากอยากผ่อนคลายกว่านี้ก็ใช้บริการร้านตัดผมได้เช่นกัน

เคล็ดลับที่ 3 การเลือกทานอาหารโปรตีน  ปลา ผัก
– โปรตีนมีประโยชน์ในการซ่อมแซมส่วนที่สึกกหรอ อีกทั้งยังสารถช่วยลดอาการหลุดร่วง หรือแตกหักของเส้นผมได้
– โปรตีน  ปลา ผัก ช่วยในการไหลเวียนโลหิตได้ ฉะนั้นบริเวณใดก็ตามในร่างกายที่มีเลือดไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงได้ดีจะทำให้ ร่างกายบริเวณนั้นแข็งแรง มีชีวิตชีวา รวมไปถึงเส้นผมบนศีรษะด้วย

เคล็ดลับที่ 4 การแปรงผมให้ถูกต้อง เลือกใช้หวีซีกใหญ่ ห่าง เพื่อหวีผมหลังจากสระใหม่ๆในขณะที่ผมเปียก เพื่อหลีกเลี่ยงหรือลดการขาดหลุดร่วง

เคล็ดลับที่ 5 การเล็มเส้นผม หลายครั้งเรามักเสียดายผม ไม่อยากตัด แต่การตัดหรือเล็มปลายผมเพียงเล็กน้อยจะเป็นการกระตุ้นการเจริญเติบโตของเส้นผมได้เป็นอย่างดี กว่าคนที่ปล่อยให้ผมยาวแบบธรรมชาติ อีกทั้งยังช่วยลดปัญหาสำหรับคนที่ผมแตกปลายได้อีกด้วย

วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ปลูกคิ้ววิธีธรรมชาติ





               หลายๆคนคงประสบกับปัญหาคิ้วบาง จนทำให้หมดความมั่นใจลงไป จนต้องหาวิธีต่างๆนาๆเพื่อจะให้มีคิ้วขึ้นเพื่อเสริมความมั่นใจ ผมก็คนหนึ่ง แต่ผมไม่ได้คิ้วบาง แต่ก็อยากจะให้มันหนาขึ้นอีก แต่ก็อยากจะได้วิธีที่มันเป็นธรรมชาติสักหน่อย เลยเอาวิธีที่มันเป็นธรรมชาติเนี่ยมาฝาก มาดูกันครับว่ามีวิธีไหนบาง วิธีพวกนี้จะต้องใช้เวลาค่อนข้างนานหน่อย ผลที่ได้ก็เป็นที่น่าพอใจนะครับ และที่สำคัญไม่มีผลข้างเคียงด้วย

ทาคิ้วด้วยดอกอัญชัน



            วิธียอดนิยมและได้ยินมานาว่าดอกอัญชันสามารถทำให้คิ้วเข้มขึ้น คนโบราณมันจะใช้น้ำที่คั้นจากดอกอัญชัน นำมาทาคิ้วทาผมของเด็กๆเพื่อทำให้คิ้วเข้มขึ้นหรือดกดำขึ้น วิธีการคือนำดอกอัญชันมาคั้น (ถ้าคั้นไม่ออก ให้เอาน้ำสะอาดมาพรมๆบนดอก) เมื่อได้น้ำแล้วให้นำมาทาบนคิ้วก่อนนอนทุกคืน

นวดด้วยน้ำมันละหุ่ง หรือน้ำมันมะกอก



เขาบอกว่าช่วยทำให้คิ้วเข้มขึ้นนะ  แถมยังช่วยให้คิ้วดกและขึ้นเร็วอีกวิธีทำก็คือให้นวดด้วยน้ำมันละหุ่ง หรือ น้ำมันมะกอกก็ได้ วันละ 5-10 นาที ไม่ต้องเยอะ นวดช้าๆทุกวัน ง่ายๆแค่นี้เองครับ

นมสด

            อันนี้อาจจะถือว่าเป็นวิธีการใหม่ของบางคนเลย รวมทั้งผมด้วยโดยเขาแนะนำให้ทำอย่างนี้ครับ วิธีการก็คือให้ใช้ฟองน้ำจุ่มนมเอาแบบนมธรรมดานะ จากนั้นก็ให้นำมาซับที่คิ้วของเรา ค่อยๆกดเบาๆบนคิ้วไปเรื่อยๆ ซึ่งวิธีนี้จะทำให้คิ้วเข้มขึ้นยังไง จากที่ได้อ่านมาเขาบอกว่าในนมนั้นมีวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ที่จะช่วยในการกระตุ้นต่อมเส้นข้น ซึ่งจะทำให้คิ้วเข้มขึ้น และอาจจะทานวิตามินที่ช่วยเพิ่มในเรื่องของเส้นขนโดยเฉพาะ

เป็นของที่สามารถหาได้ทั่วไป เพื่อนๆคนไหนสนใจก็ลองทำกันดูนะครับผม ให้ผลที่เลยทีเดียว ผมก็ทำอยู่ทุกวันเป็นประจำ จะเห็นว่าคิ้วจะเริ่มดกดำขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ใช้เวลาหน่อยนะครับ

Vitamin E ช่วยชะลอความแก่


               ส่วนตัวผมทราบมาว่า  วิตามินอี  ช่วยในรอยแผลเป็น และยังช่วยในการป้องกันผิวจากรังสี UV  แหล่งอาหารที่มีวิตามินอีอยู่ในปริมาณสูง ได้แก่ นม ไข่ ถั่ว ปลา เนื้อสัตว์ เช่น เป็ด ไก่ น้ำมันพืชต่างๆ ผักที่กินใบ เช่น ผักกาดหอม ผักโขม เป็นต้น น่าจะหาทานกันได้ไม่ยากเกินไปนะครับผมว่า มาดูประโยชน์ของมันกันจากที่ผมได้ค้นหาคำตอบได้คำตอบมาดังนี้

 
               วิตามินอี ที่เรามักได้ยินกิตติศัพท์ร่ำลือในด้านการป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความแก่ชรา ดังนั้นนอกจากในอาหารแล้ว ยังพบว่ามีการสกัดวิตามินอีมาผสมในเครื่องสำอางหลายชนิด
วิตามินอี หรือ โทโคเฟอรอล (tocopherol) เป็นวิตามินชนิดหนึ่งที่ร่างกายจำเป็นต้องได้รับเป็นประจำทุกวัน มีลักษณะเป็นน้ำมันสีเหลือง และละลายได้ดีในไขมัน เช่นเดียวกับวิตามินเอ วิตามินดี และวิตามินเค วิตามินอี มีหลายชนิด ได้แก่ แอลฟา เบตา แกมมา และซิกมา โทโคเฟอรอล โดยชนิดที่ออกฤทธิ์ได้ดีที่สุด คือ แอลฟาโทโคเฟอรอล (alpha-tocopherol)

วิตามินอีกับผิวพรรณ 
              สถาบันโรคผิวหนังหลายแห่งมีการวิจัยพบว่า วิตามินอีช่วยป้องกันผิวจากการไหม้เกรียม ริ้วรอยเหี่ยวย่นและรอยแผลได้ดี ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานหรือการทาที่ผิวหนังโดยตรง เนื่องจากการเกิดแผลหรือการอักเสบบนผิวหนัง หรือการถูกแสงแดดเผาไหม้จะทำให้เกิดการสะสมของอนุมูลอิสระขึ้น วิตามินอีจะทำหน้าที่เหมือนฟองน้ำที่ดูดซับสารอนุมูลอิสระก่อนที่จะทำให้เนื้อเยื่อต่างๆ เสียหาย จึงช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของผนังเซลล์ทำให้เซลล์ผิวแข็งแรงขึ้น และช่วยให้ทนต่อรังสี UV ในแสงแดดได้ดีขึ้น ดังนั้นผู้ผลิตเครื่องสำอางจึงนิยมนำวิตามินอีมาใช้เป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์


"วิตามินอี" สารอาหารที่ช่วยชะลอความแก่ 
               สารอนุมูลอิสระจะมีผลทำให้เซลล์เกิดความเสียหายและตายได้ในที่สุด ซึ่งนอกจากจะเป็นสาเหตุทำให้ ร่างกายอ่อนแอและแก่เร็วกว่าปกติแล้ว หากเกิดที่สมองก็จะทำให้มีโอกาสเป็นโรคเรื้อรังทางสมองต่างๆ เช่น โรคสมอ​งเสื่อม (Alzheimer’s disease) โรคพาร์คินสัน (Parkinson’s disease) เป็นต้น จากการศึกษาทางคลินิกพบว่าผู้ที่รับประทานวิตามินอี 1,300 IU ต่อวันอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 2 ปีจะช่วยชะลอการเกิดโรคสมองเสื่อมจากการอุดตันของเส้นเลือดในสมองได้

อาหารที่เป็นแหล่งของวิตามิน E



              แหล่งอาหารที่มีวิตามินอีอยู่ในปริมาณสูง ได้แก่ นม ไข่ ถั่ว ปลา เนื้อสัตว์ เช่น เป็ด ไก่ น้ำมันพืชต่างๆ ผักที่กินใบ เช่น ผักกาดหอม ผักโขม เป็นต้น ถึงแม้ว่าวิตามินอีจะค่อนข้างทนต่อความร้อนและไม่ละลายในน้ำก็ตาม แต่การประกอบอาหารที่ใช้ความร้อนสูงๆ เช่น การทอด รวมทั้งการเหม็นหืนของน้ำมันก็อาจทำให้วิตามินอีสูญเสีย สภาพไปได้

วิตามินซี Vitamin C ผลต่อผิวพรรณ





              วันนี้จะมาพูดถึง   วิตามินซี Vitamin C  ที่มีผลต่อผิวพรรณ วิตามินซี  ปัจจุบันรู้จักกันดีในหมู่คนที่รักสุขภาพผิว ดูแลผิวเป็นพิเศษ เพราะช่วยในเรื่องผิวโดยตรง ปัจจุบันมีทั้งในรูปแบบของอาหารเสริมและอื่นๆ ส่วนตัวผมก็ทานอาหารเสริม    วิตามินซี Vitamin C เช่นกัน ผลที่ออกมาก็เป็นที่น่าพอใจ อย่าเข้าใจผิดว่าวิตามินซีช่วยให้ผิวขาวนะครับ    วิตามินซี Vitamin C แค่ช่วยให้ผิวเนียนใส ละเอียด ส่วนใหญ่จะทานคู่กับ กลูต้าที่ช่วยให้ขาว  จะให้ผลดีกับคนที่อยากขาวและผิวเนียนใส

            วิตามินซี หรือกรดแอสคอร์บิก เป็นวิตามินชนิดละลายในน้ำ หน้าที่สำคัญคือเป็นสารจับออกซิเจนชนิดละลายน้ำ และเป็นสารเก็บกวาดอนุมูลอิสระ

              นอกจากนี้ วิตามินซียังเป็นสารจำเป็นสำหรับการสังเคราะห์ไฮดรอกซีโพรลีน และไฮดรอกซีไลซีน ซึ่งเป็นส่วนประกอบของคอลลาเจน และยังช่วยเร่งให้ต่อมหมวกไตผลิตคอร์ทิโซนและฮอร์โมนชนิดอื่นที่ทำหน้าที่ลดความเคลียดอีกด้วย


              วิตามิน C ช่วยให้แผลหายได้เร็วขึ้น เนื่องจาก วิตามินซี ช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมและรักษาตัวเอง โดยการไปเสริมสร้างผนังเซลล์  ทำให้เส้นเลือดฝอยแข็งแรง และต่อต้านอาการอักเสบ จึงทำให้แผลหายได้เร็วขึ้น ในทางกลับกันการขาด วิตามินซี ก็สงผลให้แผลหายได้ช้าลง เช่นกัน

             ช่วยเรื่องความจำ โดย วิตามินซี จะไปช่วยรักษาสภาพของเซลประสาท และจะได้ผลดียิ่งขึ้น หากรับประทานร่วมกับอาหารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ เช่น วิตามินอี แคโรทีน กิงโกะไบโลบ้า และโคเอนไซม์ Q10

แหล่งวิตามิน C จากอาหาร
            วิตามินซีพบมากในผลไม้ มันฝรั่ง และผักสีเขียว มีอยุ่เล็กน้อยในเนื้อสัตว์ ธัญญาหาร เมล็ดพืช แหล่งวิตามินซีที่ดีที่สุดกลับไม่ใช่ผลไม้ตระกูลส้ม แต่เป็นโรสฮิพส์ บรอกโคลี กะหลำปมและพริกหวาน ผลไม้ไทยที่มีวิตามินซีสูงสุด คือมะขามป้อม

ประโยชน์ของน้ำมันปลา Fish Oil


            เราจะมาพูดถึงอาหารเสริมอีกตัวหนึ่งที่คนรักสุขภาพทั่วไปนิยมทาน นั้นคือ น้ำมันปลานั้นเอง โดยส่วนตัวผมก็ทานน้ำมันปลาเช่นกัน ประโยชน์ของน้ำมันปลานั้นมีมากมาย รวมทั้งเรื่องผิวด้วย มาดูกันว่าปลามันปลานั้นมีที่มาอย่างไรและประโยชน์ของมันคืออะไรบ้าง



            น้ำมันปลา คืออะไร? น้ํามันปลา หรือ Fish Oil คือส่วนที่สกัดมาจากจากส่วนของเนื้อ หนัง หัว หาง ของปลาโดยเฉพาะปลาในเขตหนาว ซึ่งในน้ำปลาจะมีกรดไขมันอยู่หลายชนิด น้ำมันปลาประกอบด้วยประกอบด้วยกรดไขมันโอเมก้า-3 และกรดไขมันโอเมก้า-6 สำหรับกรดไขมันโอเมก้า-3 นั้นจะแบ่งออกเป็น EPA และ DHA เป็นหลักซึ่งเป็นกรดไขมันที่มีความจำเป็นต่อร่างกายอย่างมาก เพราะว่าร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นมาเองได้ และต้องได้รับจากสารอาหารเท่านั้น และสำหรับกรดไขมันในกลุ่มโอเมก้า-6 นั้นก็มีความสำคัญไม่แพ้กันเพราะช่วยลดไขมันได้เลือดได้ นอกจากปลาแล้วยังพบมากในน้ำมันพืชหลายชนิด เช่น น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันถั่วเหลือง เป็นต้น

            น้ํามันปลา จากแหล่งธรรมชาติที่ดีควรมาจากปลาทะเล อย่างเช่น ปลาซาร์ดีน ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาซาบะ ปลาเฮอร์ริ่ง ปลาแมคเคอเรล ปลาแงโชวี่ ปลาไวท์ฟิช ปลาบลูฟิช ปลาชอคฟิช ปลานิลทะเล ปลาดุกทะเล หอยกาบ หอยนางรม หอยพัด กุ้ง ปลาหมึก และสำหรับปลาอื่นๆเผื่อไว้เป็นตัวเลือก เช่น ปลาตาเดียว ปามาฮีมาฮี ปลากะพงแดง ปลาเทราต์ (ปลอดภัยสำหรับผู้ชายและ ผู้หญิงที่ไม่ได้อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ และรับประทานได้ไม่เกินสัปดาห์ละครั้ง) สำหรับปลามาฮีมาฮีและกะพงแดงจะมีระดับสารปรอทในระดับปานกลาง ควรจำกัดการรับประทานในเด็กและหญิงวัยเจริญพันธุ์ ให้รับประทานเพียงเดือนละครั้งเท่านั้น



            ปลาที่เลี้ยงในบ่อนั้นจะมีกรดไขมันโอเมก้า-6 มากกว่าโอเมก้า-3 และน้ำมันปลาทะเลเข้มข้นประมาณ 10 แคปซูลจะมี EPA อยู่ประมาณ 1,800 มิลลิกรัม (แซลมอน 4 ออนซ์จะมี EPA ประมาณ 1,000 มิลลิกรัม)

ประโยชน์น้ำมันปลา

  • ช่วยบำรุงสุขภาพผิว เส้นผม และเล็บให้มีสุขภาพดี
  • น้ํามันปลาช่วยบำรุงประสาทและสมอง ช่วยเพิ่มความจำและความสามารถในการเรียนรู้
  • ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกรีเซอไรด์ที่เป็นอันตราย
  • ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจวายเฉียบพลัน
  • ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง
  • ช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดเส้นเลือดในสมองแตก
  • น้ํามันปลาช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดแดงแข็งตัว
  • ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดในกระแสเลือด เพราะไปลดความหนืดของเกล็ดเลือด และลดปริมาณสารไฟบรินในเลือด
  • ช่วยรักษาและลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งเต้านม
  • ช่วยบรรเทาอาการคันและแห้งของโรคสะเก็ดเงิน
  • ช่วยลดความถี่และความรุนแรงของโรคปวดศีรษะไมเกรน
  • น้ํามันปลาช่วยต่อต้านผลร้ายจากสารโพรสตาแกลนดินซึ่งมีส่วนไปลดภูมิต้านทานของโรคและไปเพิ่มการเจริญเติบโตของเนื้องอก
  • ช่วยบรรเทาอาการอักเสบ ปวด บวมของโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
  • ช่วยเพิ่มพัฒนาการในด้านสายตาและสมองของทารก
  • ช่วยป้องกันการเกิดภาวะสมองเสื่อมหรือโรคอัลไซเมอร์ในผู้สูงอายุ จบแล้วประโยชน์ของน้ำมันปลา

L-Carnitine ช่วยลดน้ำหนักจริงหรือ ?


              มาคุยกันเรื่องแอล L-Carnitine นะครับ ผมเป็นคนหนึ่งที่สนใจเกี่ยวกับอาหารเสริมตัวนี้มาก และก็ทานตัวนี้ด้วย เท่าที่ผมเข้าใจแค่เป็นสารอาหารที่ช่วยในการนำเอาไขมันมาเผาพลาญ ทำให้ออกกำลังกายได้มากขึ้น ที่ผมทานผมจะทานก่อนออกกำลังกายเพื่อให้ได้ผลที่ดี ต้องใช้ร่วมกับการออกกำลังกายนะครับถึงจะได้ผลที่ชัดเจนที่สุด  เหมาะกับคนที่อยากลดความอ้วนนะครับ แต่เน้นเลยว่าต้องร่วมกับการออกกำลังกาย เพราะผมประสบมาแล้ว ทานอย่างเดียวให้ผลครับแต่ช้า ส่วนรายละเอียดเกี่ยวกับสารอาหารตัวนี้ ผมลองค้นหามาเพื่อแชร์ให้หลายๆคนที่รักษาสุขภาพและอยากลดความอ้วนหรือควบคุมน้ำหนักได้ทราบ




            แอล-คาร์นิทีน กลายเป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริมชนิดหนึ่ง ที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบันนี้ แต่แท้ที่จริงแล้ว ร่างกายขอมนุษย์สามารถผลิตแอล-คาร์นิทีนได้เอง โดยไม่ต้องพึ่งอาหารเสริมราคาแพง เราสามารถพบ แอล-คาร์นิทีน ได้ในร่างกายโดยหน้าที่ของตับ และสามารถอธิบายกระบวนการง่าย ๆ ได้ว่า แอล-คาร์นิทีน อาศัยกรดอะมิโน 2 ตัว คือ ไลซีน (ที่พบในเนื้อสัตว์ สัตว์ปีก และนม) และเมโทโอนีน (พบในธัญพืช ผักใบเขียว) ร่วมมือกันสังเคราะห์ขึ้น โดยมีกลุ่มสารอาหารที่คอยเร่งกระบวนการทำงาน ได้แก่ Niacin วิตามิน C และธาตุเหล็ก (พบในเนื้อสัตว์ ตับ ข้าวซ้อนมือ นม ผมไม้รสเปรี้ยว เป็นต้น)


          เมื่อ แอล-คาร์นิทีน ถูกผลิตขึ้นในร่างกายสำเร็จ จะออกฤทธิ์ในรูปแบบของกรดชนิดคาร์นิทีน มีหน้าที่ช่วยลำเลียงโมเลกุลไขมันเข้าไปในเซลล์ต่าง ๆ ซึ่งกระบวนการนี้เอง ที่เป็นการเปลี่ยนแปลงไขมันเป็นพลังงาน อาจกล่าวได้ว่า บทบาทสำคัญของมันก็คือ การหยิบเอาไขมันมาใช้งานให้หมดไปนั่นเอง ซึ่งหากร่างกายมีสารคาร์นิทีนไม่เพียงพอหรือขาด ก็จะนำมาสู่ปัญหาการสะสมของไขมันในร่างกาย และในสัดส่วนของคนเรา รวมถึงคั่งค้างอยู่ในอวัยวะสำคัญอย่างหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดทำงานเสื่อมถอยลง มีความเสี่ยงต่อโรคที่เกี่ยวกับไขมัน รวมถึงอาจมีอาการเหนื่อยล้า ซึม และอ่อนเพลีย

L-Carnitine ไขมัน และการเคลื่อนตัวของอสุจิตัวน้อย
           อย่างที่ได้กล่าวแล้วว่า แอล-คาร์นิทีนเกี่ยวข้องกับกระบวนการนำไขมันไปใช้ นำไขมันไปเผาผลาญไม่ให้เกิดการสะสมของไขมัน ซึ่งพลังงานที่ใช้จะถูกนำไปใช้ในกล้ามเนื้อต่าง ๆ โดยไขมัน และจะถูกนำไปเก็บไว้ในกล้ามเนื้อลาย กล้ามเนื้อหัวใจ กล้ามเนื้อบริเวณขา แขน เก็บบริเวณหัวใจ สมอง รวมทั้งการเก็บไว้ที่สเปิร์ม



          โดยแอล-คาร์นิทีนจะเร่งผลิตไมโทคอนเดรีย ทำให้ไขมันเปลี่ยนเป็นพลังงาน และทำให้สเปิร์มเคลื่อนตัวได้ดีขึ้น สาเหตุนี้เองที่ทำให้แอล-คาร์นิทีน มีส่วนในการทำงานเผาผลาญไขมัน หรือเบิร์นส์ไขมัน และเป็นที่นิยมของผู้ที่ออกกำลังกาย ผู้ที่ต้องการเสริมความฟิตให้กับร่างกาย และต้องการควบคุมน้ำหนัก ซึ่งในคนอ้วนนั้นมีการทดสอบพบว่า ในเนื้อเยื่อไม่มีสารกลุ่มคาร์นิทีนเลย หรือมีน้อยมาก นี่เองที่กลายเป็นข้อสันนิษฐานว่า ความอ้วน ไขมัน และแอล-คาร์นิทีน มีความเกี่ยวพันกัน โดยเกี่ยวข้องกับการลำเลียงไขมันไปใช้งาน และเมื่อร่างกายมีแอล-คาร์นิทีนเพิ่มขึ้น ทำให้การเผาผลาญไขมันดีขึ้น


แล้วจริงๆแล้วมันช่วยอะไร

  • แอล-คาร์นิทีน มีหน้าที่เป็นตัวนำเอาไขมันที่คั่งค้างสะสมตามส่วนต่าง ๆ ออกมาเผาผลาญให้เป็นพลังงาน และนี่เองที่ทำให้แอล-คาร์นิทีนมักอยู่ร่วมในโปรแกรมควบคุมน้ำหนัก การออกกำลังกาย
  •  ควบคุมระดับของคอเลสเตอรอล และไตรกลีเซอร์ไรด์ ในเลือด
  •  เราสามารถรับประทานอาหารในชีวิตประจำวัน เพื่อเพิ่มแอล/คาร์นิทีนได้ โดยรับประทานอาหารกลุ่ม เนื้อสัตว์ เนื้อแดง และนม
  • ไม่ควรรับประทานอาหารเสริมประเภทแอล-คาร์นิทีนเกินมากไป เพราะหากรับประทานเกินวันละ 6 กรัม อาจเกิดอาการบวม เป็นตะคริว หรือท้องเสียได้ เนื่องจากในอาหารที่รับเรารับประทานนั้น มีส่วนผสมของแอล-คาร์นิทีน ผสมปะปนอยู่โดยธรรมชาติ
  •  แอล-คาร์นิทีนมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ และช่วยแก้ไขภาวะหัวใจล้มเหลว
           แอล-คาร์นิทีน เป็นอีกหนึ่งสารอาหารสำคัญ ที่นำเอาไขมันที่ซุกซ่อนในร่างกายของคุณออกมาเผาผลาญเป็นพลังงาน แต่อาหารเสริมที่มีส่วนผสมของแอล-คาร์นิทีน ที่คุณบริโภคนั้นจะคุณสมบัติดีมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับกิจวัตรประจำวันของคุณในการับประทานอาหาร และการออกกำลังกาย เพื่อช่วยให้ร่างกายใช้พลังงานได้อย่างเหมาะสม

โคเอนไซม์ Q10 ช่วยอะไร


             วันนี้จะมาพูดถึง โคเอนไซม์ คิวเทน ส่วนตัวผมก็ทานอาหารเสริมตัวนี้อยู่ด้วย เท่าที่ทราบมาจะช่วยเกี่ยวกับเรื่องผิว ช่วยลดริ้วรอยและชะลอความเสื่อมของเซลล์ผิว และยังช่วยเกี่ยวกับการทำงานของหัวใจ ด้วยความอยากรู้ ผมเลยหาคำตอบที่ละเอียดมาแชร์กัน เพื่อให้คนที่รักสุขภาพได้ทราบกัน และเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจ ในการเลือกทานอาหารเสริมเกี่ยวกับผิว มาดูกันเลยครับ ว่ามีอะไรบ้าง


             โคเอนไซม์ คิวเทน หรือ โคคิว 10 หรืออีกชื่อหนึ่งคือ ยูบิควิโนน (Ubiquinone) เป็นสารคล้ายวิตามินที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ในการสร้างพลังงานพื้นฐานของเซลล์ อันจะส่งผลให้เนื้อเยื่อและอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายทำงานได้อย่างเป็นปกติ

แล้วมันได้มาจากไหนละ
             จริง ๆ แล้ว ในร่างกายของคนเรามีโคเอนไซม์ คิวเทน ซึ่งสามารถสร้างได้ตามธรรมชาติ โดยจะเกิดตามเซลล์ของอวัยวะที่ต้องการพลังงานสูง เช่น หัวใจ ตับ ไต สมอง และตามผิวหนังชั้นกำพร้าซึ่งจะมีปริมาณลดน้อยลงตามอายุที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ก็ได้รับจากอาหารประเภทต่าง ๆ ได้แก่ เนื้อปลา เนื้อวัว เครื่องในสัตว์ ถั่วเปลือกแข็ง ธัญพืชที่ไม่ขัดสี ผักอย่างปวยเล้งและบรอกโคลี แต่ในระหว่างการปรุงอาหารโดยใช้อุณหภูมิสูง จะทำให้โคเอนไซม์ คิวเทนถูกทำลายไป ดังนั้น การได้รับอาหารเสริมจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ที่เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน

แล้วมันดียังไงละ

  •   ช่วยลดริ้วรอยและชะลอความเสื่อมของเซลล์ผิว
  •   เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีฤทธิ์แรง
  •   ช่วยทำให้กล้ามเนื้อหัวใจทำงานดีขึ้น ส่งผลให้หัวใจดีขึ้น ความดันโลหิตในผู้ที่มีความดันโลหิตสูงลดลง
  •   ช่วยลดผลข้างเคียงของการใช้ยาลดไขมันคอเลสเตอรอลกลุ่มสแตติน
หัวใจ กับ โคเอนไซม์ คิวเทน




          เนื่องจากอัตราการเต้นของหัวใจในมนุษย์เราเฉลี่ยแล้ว 1 แสนครั้งต่อวัน ซึ่งเท่ากับว่าเราต้องใช้พลังงานอย่างมาก ในการสูบฉีดเลือดเพื่อให้ไปเลี้ยงได้อย่างพอเพียง หากเกิดสิ่งใดขึ้นก็ตามที่ทำให้ระดับของโคคิว 10 ลดลง ก็จะส่งผลต่อการผลิตพลังงานให้กับหัวใจ อันเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวได้ในที่สุด 

          จากการศึกษาพบว่า โคเอนไซม์ คิวเทนสามารถลดอาการหัวใจล้มเหลว โดยพบว่าการใช้โคเอนไซม์ คิวเทนเป็นอาหารเสริมทำให้หัวใจสูบฉีดเลือดได้มากกว่า 15.7 เปอร์เซ็นต์ และทำให้ออกกำลังกายได้นานขึ้น 25.4 เปอร์เซ็นต์




มารู้จัก กลูต้าไธโอน (glutathione) กัน






               ผมเองเกิดข้อสงสัยที่ว่า กลูต้าไธโอน ช่วยให้คนที่ผิวคล้ำกลายเป็นขาวได้หรือ จึงเริ่มค้นหาคำตอบและหาที่มาของสารชนิดนี้ว่า มาได้ไงแล้วช่วยได้จิงงั้นรึ ซึ่งผมก็คนหนึ่งที่กินอาหารเสริมประเภทช่วยเรื่องความขาว ยี่ห้อหนึ่งที่มีส่วนผสมของ  กลูต้าไธโอน ผมกินมาจะสองเดือนและ กินบ้างหยุดบ้าง ผมว่าอาหารเสริมพวกนี้ไม่ค่อยดีกับพวกตับเท่าไร เท่าที่ผมอ่านๆมา จึงต้องมีวิธีในการกิน คือ จะมีช่วงที่หยุดกินด้วย แต่ที่ผมลองกินมาแล้วผลตอนนี้ ผมว่าโอเคเลยนะ ดีกว่าเมื่อก่อนเยอะเลย เห็นได้จากหลายๆคนทักว่าไปทำอะไรมา แต่ตัวผมเองกินอาหารเสริมหลายตัว ด้วยคงจะประกอบกันจึงให้ผลที่ดีนั้นเอง มาดูกันดีกว่า

                กลูตาไธโอน (glutathione) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่เซลล์ในร่างกายมนุษย์สามารถสังเคราะห์ได้เอง มีคุณสมบัติเป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง ทำหน้าที่ในการปกป้องเนื้อเยื่อไม่ให้ถูกทำลายโดยสารอนุมูลอิสระที่สะสมอยู่ตามส่วนต่างๆของร่างกาย กระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย และที่สำคัญยังช่วยตับในการทำลายและขจัดสารพิษออกจากร่างกายด้วย



               ในทางการแพทย์พบว่ามีการนำกลูตาไธโอนมาทดลองใช้ในการรักษาโรคต่างๆ ซึ่งยังไม่ได้รับการอนุมัติข้อบ่งใช้จากองค์การอาหารและยา เช่น ภาวะเป็นหมันในเพศชาย ปลายเส้นประสาทอักเสบ มะเร็งกระเพาะอาหาร หรือมะเร็งต่อมลูกหมาก วิธีการรักษามักทำโดยการฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำหรือเข้าที่กล้ามเนื้อ ผลข้างเคียงอย่างหนึ่งที่น่าแปลกใจ คือ ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยการฉีดกลูตาไธโอนนั้นมีสีผิวที่ขาวขึ้น เนื่องมาจากกลูตาไธโอนสามารถยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส (tyrosinase) ได้ และส่งผลให้เม็ดสีของผิวหนังเปลี่ยนจากเม็ดสีน้ำตาลดำเป็นเม็ดสีชมพูขาว ด้วยเหตุนี้เองจึงมีผู้พยายามนำผลข้างเคียงของยามาใช้ในการทำให้ผิวขาวขึ้น ซึ่งนับได้ว่าเป็นการนำยามาใช้ในทางที่ผิดอีกรูปแบบหนึ่ง โดยในปัจจุบันยังไม่มีการศึกษาที่น่าเชื่อถือยืนยันหรือรับรองประสิทธิภาพและประโยชน์ของกลูตาไธโอนในการทำให้ผิวขาวได้อย่างแท้จริง จึงไม่น่าแปลกใจที่กลูตาไธโอนไม่ผ่านการรับรองข้อบ่งใช้โดยองค์การอาหารและยาประเทศสหรัฐอเมริกาสำหรับทำให้ผิวขาว



               ผลิตภัณฑ์กลูตาไธโอนที่พบในท้องตลาดส่วนใหญ่นั้นเอยู่ในรูปยาเม็ดหรือผงละลายน้ำสำหรับรับประทาน ซึ่ง กลูตาไธโอนนี้สามารถถูกทำลายได้ในทางเดินอาหารของมนุษย์ ดังนั้นประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นจากการรับประทานกลูตาไธโอนในรูปแบบของยารับประทานนั้นแทบจะไม่มีเลย ที่ผ่านมาจึงพบว่ามีผู้พยายามนำกลูตาไธโอนในรูปแบบยาฉีดมาใช้แทนการรับประทานกันมากขึ้น เนื่องจากเชื่อว่ากลูตาไธโอนชนิดฉีดนั้นมีประสิทธิภาพในการทำให้ผิวขาวได้ดีกว่าและเห็นผลเร็วกว่ากลูตาไธโอนชนิดรับประทาน

               ประเด็นสำคัญของการใช้ยาฉีดกลูตาไธโอนโดยเฉพาะการฉีดเข้าหลอดเลือดดำนั้น คือ ความปลอดภัยจากการฉีดยา เนื่องจากผิวที่ขาวขึ้นจากกลูตาไธโอนนั้นเป็นผลข้างเคียงของยาที่เกิดขึ้นชั่วคราวเท่านั้น หากต้องการให้ผลคงอยู่ไปตลอดจำเป็นต้องได้รับการฉีดซ้ำเป็นระยะ ทำให้มีการสะสมยาในร่างกายมากขึ้น และอาจก่อให้เกิดอันตรายในระยะยาวได้ นอกจากนี้การฉีดยาจำเป็นต้องกระทำโดยผู้ประกอบวิชาชีพที่เชี่ยวชาญเท่านั้น เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ระหว่างการให้ยา เช่น การฉีดยาในอัตราที่เร็วเกินไป การติดเชื้อในกระแสเลือดจากเครื่องมือที่ไม่สะอาดเ การเกิดฟองอากาศอุดตันหลอดเลือดเนื่องจากผู้ฉีดยาไล่ฟองอากาศในเข็มฉีดยาไม่หมด เป็นต้น ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อผู้ที่ได้รับยาจนถึงขั้นเสียชีวิตได้เลยทีเดียว

อยากผิวสวยทานมะเขือเทศ


           
               คงจะปฏิเศษไม่ได้เกี่ยวกับ สรรพคุณของมะเขือเทศที่มีมากมายโดยเฉพาะผิว คนที่รักสุขภาพผิวและต้องการให้ผิวสวย พลาดไม่ได้เลย หลายคนคงเคยกินกันมาแล้วละ แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าในมะเขือเทศมีอะไรอยู่บ้าง ว่าทำไมกินเข้าไปแล้ว ผิวถึงได้สวย เอ้ แล้วไอ้มะเขือเทศที่กินๆกันเข้าไปนั้นมีสารอาหารอะไรอยู่บ้างละ มาดูกันครับ

              มะเขือเทศ หรือ Tomato ส่วนชื่อวิทยาศาสตร์มะเขือเทศคือ Lycopersicon Esculentum Mill มะเขือเทศคือผักหรือผลไม้ ? คำตอบก็คือ “มะเขือเทศคือผลไม้” ครับตามคำนิยามของหลักทางพฤกษศาสตร์ เพราะผลไม้คือส่วนของรังไข่ที่เจริญเติบโตเต็มที่ของพืชดอก ส่วน ผัก คือพืชที่กินได้ของพื่ชล้มลุก ไม่ว่าจะเป็น ราก ใบ ก้าน หัว หน่อ ดอก ซึ่งโดยปกติแล้วคนส่วนมากมักเข้าใจผิดว่ามะเขือเทศคือผักเพราะนำไปใช้ประกอบอาหารกันเป็นส่วนใหญ่ และมักคิดว่าผลไม้คือสิ่งที่ให้ความหวานนั่นเอง โดยมะเขือเทศที่นิยมรับประทานมากคือ มะเขือเทศสีดา มะเขือเทศราชินี และคุณรู้หรือไม้มะเขือเทศนั้นจัดว่าเป็นผลไม้ที่คนทั่วโลกนิยมรับประทานกันมากที่สุด โดยนิยมรับประทานกันมากกว่าผลไม้ยอดนิยมอันดับ 2 อย่าง กล้วย มากถึง 16 ล้านตันต่อปี ส่วนผลไม้อันดับ 3 คือ แอปเปิ้ล และ ส้ม ตามลำดับ

              มะเขือเทศ นอกจากจะเป็นผลไม้ที่นิยมรับประทานกันมากที่สุดในโลกแล้ว ประโยชน์ของมะเขือเทศยังมีอยู่มากมาย เพราะอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุอยู่หลายชนิดที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเช่น วิตามินซี วิตามิเอ วิตามินเค วิตามินพี วิตามินบี1 วิตามินบี2 ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส และ ธาตุเหล็ก โดยมะเขือเทศขนาดปานกลางนั้นจะมีปริมาณของวิตามินซีครึ่งหนึ่งของส้มโอทั้งลูก และมะเขือเทศหนึ่งผลมีปริมาณวิตามินเอที่ร่างกายต้องการจำนวน 1 ใน 3 ของวิตามินเอทีร่างกายต้องการต่อวันเลยทีเดียว!! และยังมีสารจำพวก ไลโคพีน (Lycopene) แคโรทีนอยด์ เบต้าแคโรทีน และ กรดอะมิโน เป็นต้น และมะเขือเทศยังจัดว่าเป็นผลไม้ที่มีสรรพคุณเป็นยารักษาโรคได้อีกด้วย เช่น ช่วยป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือด ขับปัสสาวะ รักษาความดัน เป็นต้น

            โดยการน้ำมะเขือเทศที่เราคั้นเองสดๆ จะดีกว่าน้ำมะเขือเทศขวดหรือกล่อง และไม่ควรเลือกรับประทานมะเขือเทศดิบ เพราะอาจจะเป็นผลเสียต่อร่างกายมากกว่าจะได้รับประโยชน์ และการกินมะเขือเทศในปริมาณมากก็ไม่มีผลข้างเคียงแต่อย่างใด มีงานวิจัยมะเขือเทศออกมาว่าการรับประทานมะเขือเทศให้ได้ 10 ครั้งต่อสัปดาห์ถือว่ามีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมากเพราะจะมีประสิทธิภาพในการป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้อย่างมาก และดีต่อสุขภาพผิวอย่างเห็นได้ชัดเจน


คุณค่าทางโภชนาการของมะเขือเทศสีแดงสด ต่อ 100 กรัม

  • มะเขือเทศพลังงาน 18 กิโลแคลอรี
  • คาร์โบไฮเดรต 3.9 กรัม
  • น้ำตาล 2.6 กรัม
  • เส้นใย 1.2 กรัม
  • ไขมัน 0.2 กรัม
  • โปรตีน 0.9 กรัม
  • น้ำ 94.5 กรัม
  • วิตามินเอ 42 ไมโครกรัม 5%
  • เบต้าแคโรทีน 449 ไมโครกรัม 4%
  • ลูทีน และ ซีแซนทีน 123 ไมโครกรัม
  • วิตามินบี1 0.037 มิลลิกรัม 3%
  • วิตามินบี3 0.594 มิลลิกรัม 4%
  • วิตามินบี6 0.08 มิลลิกรัม 6%
  • วิตามินซี 14 มิลลิกรัม 17%
  • วิตามินอี 0.54 มิลลิกรัม 4%
  • วิตามินเค 7.9 ไมโครกรัม 8%
  • ธาตุแมกนีเซียม 11 มิลลิกรัม 3%
  • ธาตุแมงกานีส 0.114 มิลลิกรัม 5%
  • ธาตุฟอสฟอรัส 24 มิลลิกรัม 3%
  • ธาตุโพแทสเซียม 237 มิลลิกรัม 5%
  • ไลโคปีน 2,573 ไมโครกรัม

% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database)


ประโยชน์ของมะเขือเทศ

  • ประโยชน์ของมะเขือเทศช่วยบำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื่นสดใส ไม่แห้งกร้าน
  • มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดและชะลอการเกิดริ้วรัยแห่งวัย
  • น้ำมะเขือเทศช่วยเพิ่มความสดชื่นให้แก่ร่างกาย
  • ช่วยเสริมคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรง
  • มีวิตามินเอซึ่งมีส่วนชวยบำรุงสายตา
  • มะเขือเทศ มีบีตาแคโรทีน และฟอสฟอรัสในปริมาณมาก
  • มะเขือเทศช่วยในการรักษาสิว ด้วยการนำน้ำมะเขือเทศมาพอกผิวหน้า หรือฝานบางๆแล้วนำมาแปะหน้าก็ได้
  • ช่วยทำให้ผิวหน้าเต่งตึงสดใส ด้วยการนำน้ำมะเขือเทศมาพอกผิวหน้า หรือฝานบางๆแล้วนำมาแปะหน้าก็ได้
  • มะเขือเทศใช้นำมาทำเป็นน้ำผลไม้ โดยน้ำผลไม้ที่ขึ้นชื่อก็คือ น้ํามะเขือเทศดอยคํา
  • เป็นที่นิยมนำมาทำเป็นอาหารได้หลายเมนู เช่น ข้าวผัด ซุป ยำต่างๆ เป็นต้น
  • ช่วยใหร่างกายสามารถต่อสู้กับโรคหอบหืดได้มากถึง 45%
  • ช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อม หริออัลไซเมอร์
  • ช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิด เลือดออกตามไรฟัน
  • ช่วยป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือด
  • มะเขือเทศมีฤทธิ์ในการช่วยขับปัสสาวะ
  • ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง
  • ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ
  • ช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดภาวะเส้นเลือดตีบ การเกิดโรคหัวใจวาย สำหรับผู้ที่สูบบุหรี่เป็นประจำ
  • ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด
  • ช่วยในระบบย่อยในกระเพาะอาหารและช่วยในการขับถ่ายอุจจาระได้สะดวก
  • ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา หรือเชื้อราที่ปาก
  • ช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคมะเร็งลำไส้
  • ช่วยลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็งต่อมลูกหมากในเพศชายได้ถึง 45% หากรับประทานมะเขือเทศเป็นประจำ
  • ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งรังไข่ ในเพศหญิง
  • ซอสมะเขือเทศหมักผม ด้วยการใช้มะเขือเทศหมักผมจะช่วยป้องกันการเปลี่ยนไปของสีผม อันเนื่องมาจากการว่ายในน้ำในสระที่มีคลอรีน
  • ซอสมะเขือเทศนำมาใช้ขัดเครื่องประดับเงินชิ้นโปรดของคุณให้เงางามเหมือนเดิมได้ ด้วยนำซอสมะเขือเทศมาถูแล้วล้างน้ำออก
  • ซอสมะเขือเทศช่วยในการดับกลิ่นคาว เศษอาหาร กลิ่นปลาสลิดได้เหมือนกันนะ เพียงแค่เปิดฝาซอสทิ้งไว้ 1 คืนเท่านั้น
  • ซอสมะเขือเทศช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดหลังจากการหกล้ม หรือถูดมีดบาดได้



วิธีการเผาผลาญพลังงาน

             
            วันนี้จะมาพูดถึงการเผาพลาญพลังงาน เนื่องจากวันนี้ เราทานอาหารเข้าไปแล้ว แต่จะได้รับการเผาพลาญน้อยมาก เนื่องมาจากบางคนต้องทำงานไม่มีเวลาออกกำลังกาย เหมือนผมทุกวันนี้นั่งอยู่บนก้าว ในหนึ่งวันนาน 8 ชม โดยประมาณ ผมจึ่งเริ่มค้นหาวิธีที่จะช่วยในการเพาพลาญพลังงานที่เกิดจากการกินเข้าไปในแต่ละวัน คิดดูนะครับว่าในหนึ่งวันคุณกินอาหารเข้าไปกี่แคลอรี แล้วพลังงานที่ใช้ไปจิงๆแล้วกี่แคลอรี เว้นแต่คุณจะออกกำลังกาย เมื่อเราใช้พลังงานที่เกิดจากการกินเข้าไปไม่หมด จะเกิดการสะสมเกิดเป็นไขมัน ที่เรียกว่าพุงนั้นเอง ตัวผมเองเคยประสบปัญหานี่มาก่อน แต่ทุกวันนี้ผมจัดการปัญหาพวกนี้ได้และ มาดูดีกว่าว่าทำอย่างไร จึงจะเผาผลาญพลังงานที่สะสมให้มากที่สุดในแต่ละวันได้


  • ร่างกายของคุณจะเผาผลาญแคลอรีมากกว่า เวลาย่อยอาหารและเครื่องดื่มเย็นจัด
          จริง แต่ก่อนที่คุณจะรีบไปกินไอศกรีม ฟังนี่ก่อน ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า ความแตกต่างที่เกิดขึ้นอาจเล็กน้อยมากจนเห็นไม่ได้ชัดเจน โดยงานวิจัยหลายชิ้นชี้ว่า การดื่มน้ำเย็นจัด ๆ 5-6 แก้วต่อวัน อาจช่วยคุณเผาผลาญได้มากขึ้นราว 10 แคลอรีต่อวัน แต่ถึงแม้มันจะเล็กน้อยมาก ก็ไม่เสียหายอะไรที่จะดื่มของเหลวไม่มีแคลอรีอย่างน้ำเปล่า ชา หรือกาแฟ (ไม่ใส่ครีมและน้ำตาล) กับน้ำแข็ง เพื่อเพิ่มการเผาผลาญพลังงาน

  •  การดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสมช่วยให้คุณเผาผลาญแคลอรีได้มากกว่า
           ปฏิกิริยาทางเคมีของร่างกายคุณทั้งหมด รวมทั้งการเผาลาญพลังงานต้องอาศัยน้ำ ถ้าคุณขาดน้ำ คุณอาจเผาผลาญแคลอรีได้น้อยลงราว 2% นี่เป็นผลจากการวิจัยของมหาวิทยาลัยยูท่าห์ ซึ่งติดตามดูระดับการเผาผลาญพลังงานของผู้ใหญ่ 10 คนในขณะที่ดื่มน้ำในปริมาณที่ต่างกันในแต่ละวัน โดยคนที่ดื่มน้ำแก้วละ 8 ออนซ์ 8-12 แก้วต่อวันมีระดับการเผาผลาญพลังงานสูงกว่าคนที่ดื่มแค่สี่แก้ว

  • อาหารเผ็ดร้อนจะทำให้ระบบเผาผลาญของคุณเพิ่มขึ้น
         เพราะแคปไซซิน สารประกอบที่ทำให้พริกมีความเผ็ดร้อนช่วยขับเหงื่อ ที่อาจทำให้การเผาลาญพลังงานของคุณเพิ่มขึ้น พร้อมทำให้รู้สึกอิ่มและลดความหิว การศึกษาวิจัยแสดงให้เห็นว่าการกินพริกราว 1 ช้อนโต๊ะ ซึ่งเท่ากับแคปไซชิน 30 ม. ทำให้การเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้นชั่วคราวถึง 23%

         ในงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งที่ให้คนกินพริก 0.9 กรัมผสมในน้ำมะเขือเทศ หรือในรูปแคปซูล ก่อนกินอาหารแต่ละมื้อ นักวิจัยพบว่า แต่ละคนลดปริมาณการรับแคลอรีลงไปได้ราว 10 หรือ 16% เป็นเวลาสองวันหลังจากนั้น

  • การกินโปรตีนช่วยให้การเผาผลาญของคุณเพิ่มขึ้น
            จริง โปรตีนให้ประโยชน์ทางด้านการเผาผลาญ เมื่อเทียบกับไขมันหรือคาร์โบไฮเดรต เพราะร่างกายจะต้องใช้พลังงานมากกว่าในการย่อยมัน การศึกษาวิจัยแสดงให้เห็นว่า คุณอาจเผาผลาญแคลอรีได้มากถึงสองเท่า ในขณะย่อยโปรตีนมากกว่าการย่อยคาร์โบไฮเดรต ตามปกติอาหารของเราจะมีโปรตีนราว 14% ลองเพิ่มปริมาณขึ้นเท่าตัว (โดยลดคาร์โบไฮเดรตลงเพื่อชดเชย) คุณจะเผาผลาญได้เพิ่มขึ้น 150-200 แคลอรีต่อวัน


เป็นวิธีการง่ายๆที่สามารถทำได้ ในชีวิตประจำวันนะครับ หวังว่าคงมีประโยชน์กับทุกๆคนที่กำลังประสบปัญหา เรื่องน้ำหนักนะครับ แต่ที่ดีที่สุดคือการออกกำลังกายครับ อันนี้เป็นการช่วยได้แค่ระดับหนึ่ง คือไม่ให้อ้อนขึ้นหรือคุมน้ำหนัก แต่ถ้าจะลดผมคิดว่าการออกกำลังกายเป็นเรื่องที่จำเป็นมากครับ 

ผลไม้ อาหารผิวสวย



             วันนี้จะมาพูดถึงผลไม้อาหารผิว ซึ่งหลายๆคน ให้ความสนใจและเริ่มหันกลับมาดูแลตัวเองกันมาขึ้น ผมจึงมีผลอาหารผิวมาแนะนำ ผมก็กินของพวกนี้อยู่เป็นประจำ คือในหนึ่งพยายามจะกินของพวกนี้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ครับ ซึ่งของเหล่านี้สามารถหาได้ง่าย จึงไม่เป็นการยากนักที่เราจะมาเริ่มดูแลตัวเองกันตั้งแต่วันนี้  มาเริ่มกันเลย

ส้ม

       ประโยชน์ ของ “ส้ม” ผลไม้นางเอกเรียกพี่…บำรุงผิวพรรณ ทำใบหน้าเต่งตึง ช่วยสมานผิว หน้าขาว-ใส ขับถ่ายดี ไม่ว่าจะเป็นส้มบางมดหรือส้มเขียวหวาน มีดีกว่าที่คุณคิด นอกจากจะมีวิตามินซีสูงแล้ว ยังช่วยบำรุงผิวพรรณ ทำระบบการขับถ่ายดีขึ้น 

มะพร้าว

             ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ขาวนวลขึ้นจากภายในสู่ภายนอก ในน้ำมะพร้าวมีเอสโตรเจนซึ่งที่มีส่วนสำคัญต่อการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวกระชับ ยืดหยุ่น ชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัย สามารถกระตุ้นการเจริญเติบโตและแบ่งเซลล์ได้ดี มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ขับของเสียหรือสารพิษออกจากร่างกาย จึงช่วยให้ผิวพรรณผ่องใส ผิวดี ผิวเนียน ได้อย่างธรรมชาติ

ฝรั้ง

            มีวิตามินบี 1 บี 2 บี 6 ธาตุเหล็ก แคลเซียม และมีวิตามินซีมากกว่าผลไม้อื่น ๆ วิตามินซีเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อผิวพรรณ เพราะมีส่วนช่วยในการสร้างคอลลาเจน เป็นสารต้านอนุมูลอิสระอันเป็นสาเหตุของการเกิดริ้วรอยก่อนวัย มีฤทธิ์เป็นไวเทนนิ่งที่ดี ทำให้ผิวเนียน และผิวใส

สับปะรด


            ช่วยผลัดเซลล์ผิว ลดรอยหมองคล้ำ ช่วยย่อยอาหาร เสริมสร้างการดูดซึมอาหารของร่างกาย กระตุ้นการขับถ่าย และช่วยลดความร้อนของร่างกาย 

ลูกพรุน

          เป็นแหล่งที่ดีของโปแตสเซียม เหล็ก และไฟเบอร์ที่สำคัญ ช่วยให้ผิวใสมีเลือดฝาด 

องุ่น

          ช่วยเรื่องริ้วรอย ผิวหมองคล้ำ และกระชับผิว กระตุ้นความสดชื่นได้เร็ว เพราะน้ำตาลในองุ่นเป็นน้ำตาลธรรมชาติ ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้เลย ช่วยเร่งในการเผาผลาญได้มากยิ่งขึ้น น้ำองุ่นสด ๆ จะมีแร่ธาตุครบถ้วน ทั้งแคลเซียม ทองแดง กรดโฟลิก ฯลฯ

อันนี้เป็นผลไม้ที่สามารถหาทานกันได้ไม่ยาก ยังมีผลไม้ที่มีประโยชน์กับผิวอีกหลายชนิด แล้วผมจะค้นหา แล้วมาโพสไว้อีกนะครับ หวังว่าคงมีประโยชน์กับใครหลายคนที่กำลังคิดจะดูแลสุขภาพผิวนะครับ แล้วเจอกันโพสต่อไปนะครับ เอาสิ่งดีๆมาแชร์กันครับ สวัสดีครับ