Social Icons

Pages

วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ถนอมสายตาหน้าคอม


            ดางตาเป็นสิ่งที่สำคัญ วันนี้ผมเลยจะมาพูดถึงเรื่องการถนอมสายตา หลายคนเป็นเหมือนผมที่ต้องอยู่หน้าจอคอมนานๆ ใช้สายตาไปกับมัน ผมเลยค่อนข้างให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก เลยหาวิธีถนอมสายตามาฝาก

  1. ตำแหน่งของจอภาพควรห่างจากดวงตาประมาณ 18 – 24 นิ้ว (วัดง่าย ๆ ประมาณหนึ่งช่วงแขนและปรับให้ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 15 – 20 องศาค่ะ) ถ้าระยะห่าวของจอภาพกับดวงตาไม่สัมพันธ์กันจะทำให้เกิดอาการเมื่อยล้าและปวดตาได้ง่าย
  2. ปรับแสงและความคมชัดของหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้รู้สึกสบายตา รวมไปถึงปรับความสว่างในที่ทำงาน ลดแสงสะท้อนรบกวน เพราะดังกล่าวจะส่งผลเสียต่อดวงตาได้ง่ายและรวดเร็ว จะรู้สึกว่ามีอาการปวดร้าวดวงตาเร็วและแสบตารุนแรงมากขึ้น
  3.  ควรเลือกจอคอมพิวเตอร์ที่มีการกระจายรังสีต่ำเพื่อถนอมสายตา เราสามารถทดสอบง่าย ๆ ได้โดยลองปิดสวิตซ์จอภาพ แล้วเอามือหรือแขนไปจ่อไว้ใกล้ ๆ จอาภาพ จอที่มีการกระจายรังสีต่ำจะแทบไม่รู้สึกถึงไฟฟ้าสถิตตามขนที่ผิว คืไม่รู้สึกขนลุก
  4. ใช้ผ้าชุบน้ำหมาด ๆ วางไว้บนเปลือกตา และหลับตาพักซัก 2 – 3 นาที หรืออาจจะปิดไฟนอนพักซักครู่ (วิธีนี้พี่เหมี่ยวว่าใช้ที่บ้านน่าจะเหมาะที่สุดนะคะ)
  5. ใช้แผ่นกรองรังสีติดไว้ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ อาจจะช่วยได้ไม่มาก(ขึ้นอยู่กับคุณภาพสินค้า) แต่ก็น่าจะช่วยลดแสงจ้าจากจอคอมพิวเตอร์ลงได้
  6.  ควรกระพริบตาให้บ่อยครั้งกว่าปกติ ภายใน 10 วินาที พยายามกระพริบตาซัก 1 – 2 ครั้ง จะช่วยคลายความอ่อนล้าของสายตาได้
  7.  ผู้ที่ใส่คอนแท็กเลนส์อาจจะเกิดอาการตาแห้งเพราะขาดน้ำหล่อเลี้ยง การหยอดน้ำตาเทียมจะช่วยได้
  8.  ตรวจสุขภาพตาบ่อย ๆ โดยเฉพาะผู้ที่ใส่คอนแท็กเลนส์ และผู้ที่มีอายุ 40 ปี ขึ้นไป ควรไปตรวจเช็คสุขภาพดวงตาด้วยนะครับ
  9.  หยุดพักหรือเปลี่ยนตารางเวลาทำงานใหม่ เพื่อให้สายตาได้พัก 15 นาที ทุก ๆ 2 ชั่วโมง เป็นอย่างน้อย
  10. ทำความสะอาดหน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่เสมอ ที่ต้องทำก็เพราะฝุ่นจะทำให้เกิดการสะท้อนของแสงมากขึ้น

สำหรับคนอดนอน


             วันนี้จะมาพูดถึงเรื่องการอดนอน หลายคนคงเคยอดนอน ไม่ว่าจะเป็นการดูบอล ใกล้สอบ ผมก็เป็นครับประจำเรื่องการอดนอน ผมมีอาชีพเป็นโปรแกรมเมอร์เป็นหลัก และผมชอบทำงานตอนกลางคืนยิ่งดึกยิ่งดีผมคิดว่ามันทำให้ผมมีสมาธิในการทำงาน และเกิดไอเดีย แต่เรื่องที่ตามมาคืนการอดนอน ผมต้องไปทำงานเช้าทุกวัน ก็เลยประสบปัญหาเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน แต่ผมเป็นคนทานอาหารเสริมเยอะมาก มันก็ช่วยผมได้เยอะนะ แต่ที่ผมเอามาฝากเป็นทริคเล็กสำหรับคนที่อดนอนครับหวังว่าคงมีประโยชน์กับใครหลายๆคนที่ชอบทำงานตอนดึกๆเหมือนผมนะครับ


  • ถึงกลางคืนจำเป็นต้องเติมพลังงานให้กับตัวเอง เพราะส่วนอาหารที่เรากินเข้าไปจะใช้ได้ประมาณ 6 ช.ม.เท่านั้น หากกินอาหารเย็น 6 โมง ถึงเที่ยงคืนพลังงานก็หมดแล้ว จะต้องเติมอาหารที่ให้พลังงานเข้าไป ทั้งนี้ ควรเป็นอาหารที่ย่อยง่ายประเภทข้าวต้ม โจ๊ก น้ำข้าว ธัญพืช จะดีกว่าอาหารที่มีไขมันสูงอย่างนมวัว หรือเครื่องดื่มประเภทโกโก้ หรือมอลต์ เนื่องจากเวลาที่จะนอนมีน้อยอยู่แล้วไม่ควรกวนกระเพาะให้ย่อยอะไรที่ย่อยยาก เพราะจะทำให้หลับไม่สนิทดีนัก และมีอาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรตที่ทำให้หลับง่ายกว่า เช่น ข้าวเหนียว กล้วย หากเลือกกินยามดึกได้จะทำให้นอนเร็วกว่า
  • กินอาหารที่อุดมด้วยวิตามินบีและซี เพราะเวลาอดนอนระดับฮอร์โมนจากต่อมไพเนียลปั่นป่วน ทำให้เกิดความเครียดแบบลึกๆ จึงต้องแก้ด้วยวิตามินคลายเครียดประเภทบีและซีปริมาณมาก ดังนั้นในระยะนี้ต้องกินข้าวกล้อง กินผัก ผลไม้ กินน้ำผลไม้คั้นสด น้ำส้มคั้นสดๆ หากกินอาหารประเภทดังกล่าวไม่ได้ ให้ใช้วิตามินบี 100 วันละ 1 เม็ด และกินวิตามินซี 1,000 ม.ก. วันละ 2 เม็ด หลังอาหารเช้า
  • ควรนอนทันทีหลังจากเสร็จจากดูบอล หรือดูหนังสือ ไม่ควรเสียเวลาออกไปหาข้าวต้มรอบดึกกินนอกบ้านเพราะจะยิ่งมีเวลานอนน้อย และควรระลึกไว้ว่าน่าจะมีเวลานอนติดกันประมาณ 4 ชั่วโมง สุขภาพจึงจะไม่เสื่อมทรุดในระยะนี้ ถ้าต้องนอนตี 3 ก็แปลว่าควรจะตื่นตอน 7 โมงเช้าจึงจะดี 
  • ไม่ควรแก้ง่วงด้วยการดื่มกาแฟ หรือชา เพราะกาแฟมีฤทธิ์ 6-8 ชั่วโมง หากกินกาแฟตอน 4 ทุ่มก็แปลว่าจะหลับได้เอาตอนตี 4 ซึ่งจะทำให้เวลาพักผ่อนไม่พอ หากง่วงก็ควรงีบหลับก่อนแล้วค่อยตื่นมาดูหนังสือหรือดูโทรทัศน์เอาตอนดึก 
  • ตื่นเช้าหลังจากอดนอน ควรกระตุ้นตนเองให้กระปรี้กระเปร่าด้วยวิตามินดังที่ได้กล่าวแล้ว หรือจะใช้โสมกินร่วมด้วยก็ดีกว่าดื่มกาแฟ เพราะการใช้วิตามินกับโสมจะทำให้สมองปลอดโปร่งกว่ากินกาแฟ 

ประโยชน์ของแตงกวากับผิว


           จิงๆแล้วผมได้ยินเรื่องสรรพคุณของแตงกวามานานและละ โดยเฉพราะกับเรื่องผิว และหลายๆอย่างตัวผมเองก็มีความสนใจ เลยมาลองหาสรรพคุณของมันอ่านไปอ่าน เออ สรรพคุณมันกับเรื่องผิวนี่ก็ไม่เบานะ ก็เลยเอามาให้คนที่สนใจได้อ่านกันดู บางอย่างผมว่าจะไปลองทำดูว่ามันได้ผลดีอย่างที่ เขาว่ากันไว้หรือป่าว ใครสนใจก็ลองทำกันดูนะครับ



           แตงกวามีน้ำเป็นองค์ประกอบถึงร้อยละ 96 จึงมีคุณสมบัติแก้กระหาย และเพิ่มความชุ่มชื้น และช่วยการกำจัดของเสียตกค้างในร่างกาย
           นอกจากนี้แตงกวามีสารอาหารที่มีประโยชน์ ได้แก่ วิตามินซี กรดคาเฟอิก กรดทั้ง 2 นี้ป้องกันการสะสมน้ำเกินจำเป็นในร่างกาย
           เปลือกแตงกวามีกากใยอาหาร และแร่ธาตุจำเป็น เช่น ซิลิก้า โพแทสเซียม โมลิบดีนั่ม แมงกานีส และแมกนีเซียม

           ซิลิก้าเป็นแร่ธาตุที่เสริมความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ กระดูกอ่อน เส้นเอ็น และกระดูก
ปริมาณเส้นใย ธาตุโพแทสเซียมและแมงกานีสในเปลือกแตงกวาช่วยควบคุมความดันเลือดและความสมดุลของสารอาหารในร่างกาย ธาตุแมกนีเซียมช่วยเสริมการทำงานของระบบประสาท กล้ามเนื้อ และระบบการหมุนเวียนเลือด เส้นใยอาหารควบคุมระดับคอเลสเตอรอลและช่วยระบบขับถ่ายโดยมีพลังงานต่ำเหมาะกับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก

           แตงกวาเป็นผักที่เหมาะกับการกินยามอากาศร้อนเพราะลดความร้อนและช่วยให้ร่างกายสดชื่น มีสารฟีนอลทำหน้าที่ต้านปฏิกิริยาออกซิเดชั่น นอกจากนี้ น้ำแตงกวายังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ แก้ไข้ ลดอาการนอนไม่หลับ ลดกรดกระเพาะอาหาร แก้กระหายน้ำ และลดอาการโรคเกาต์ โรคไขข้อรูมาติสม์ และอาการบวมน้ำอีกด้วย

แตงกวากับสุขภาพและความงาม



ป้องกันสิวและสิวหัวดำ 
           ใช้เนื้อแตงกวาขูดฝอยพอกบริเวณหน้าและคอเป็นเวลา 15-20 นาที บำรุงผิว ถ้าใช้บ่อยจะป้องกันผิวหน้าแห้ง ป้องกันการเกิดสิวและสิวหัวดำ

ผิวหน้าผุดผ่อง
           ใช้น้ำคั้นผลแตงกวาและนมสดปริมาณเท่าๆกัน เติมน้ำลอยกลีบกุหลาบ 2-3 หยด ทาหน้านาน 15-20 นาที ทำให้ผิวหน้านุ่มและขาวขึ้น

ผิวหน้าสดใส
            ใช้น้ำมะนาวเล็กน้อยและน้ำลอยกลีบกุหลาบ (ที่ปลูกเองแบบปลอดสาร ใช้กลีบกุหลาบมากหน่อย น้ำไม่ต้องมาก วัตถุประสงค์คือให้น้ำมันหอมจากกลีบกุหลาบออกมาอยู่ในน้ำ) ผสมกับน้ำคั้นผลแตงกวา ทาบนผิวหน้าเพื่อทำให้ใบหน้าสดใส (โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่มีผิวมัน)

ลบถุงดำใต้ตา
           ใช้น้ำคั้นผลแตงกวา 1 ช้อนโต๊ะผสมน้ำคั้นมันฝรั่ง 1 ช้อนโต๊ะ ทารอบขอบตา พักราว 15 นาทีจึงล้างออก

ลดรอยหมองคล้ำใต้รักแร้
           ผสมน้ำมันมะพร้าว 1 ช้อนโต๊ะ น้ำคั้นผลแตงกวา 1 ช้อนชา น้ำมะนาว 1 ช้อนชา และผงขมิ้นครึ่งช้อนชา หลังจากอาบน้ำเช็ดตัวให้ใช้สำลีชุบน้ำมันมะพร้าวเช็ดบริเวณใต้รักแร้เป็นวงกลม หลังจากนั้นผสมน้ำแตงกวา น้ำมะนาว และผงขมิ้นให้เข้ากัน ทาใต้รักแร้ทิ้งไว้ 20 นาที จากนั้นล้างออกและเช็ดให้แห้ง ทำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง

บำรุงผิว
           ผสมน้ำคั้นแตงกวา น้ำมะนาว น้ำส้ม น้ำแช่กลีบกุหลาบ กลีเซอรีน และน้ำผึ้งอย่างละเท่าๆกัน ใช้ทาผิวให้ตึงกระชับเพิ่มความอ่อนเยาว์

ช่วยการเจริญของผม
          ให้ดื่มน้ำคั้นผลแตงกวาและน้ำแครอตเป็นประจำ ซิลิก้าและกำมะถันในน้ำแตงกวาบำรุงเส้นผม เล็บและผิวหนัง

มิตรแท้ของดวงตา
         หั่นแตงกวาเป็นแว่นตามขวาง หลับตาวางแว่นแตงกวาลงบนเปลือกตา นอนในที่เงียบแสงสลัวๆ จะบรรเทาอาการเหนื่อยล้าของดวงตา ที่เกิดจากการใช้งานนานๆ ได้รับฝุ่นควัน แสงจ้า หรือใส่คอนแท็กเลนส์นานเกินไป

ทรีตเม้นท์ลดความเสียหายของผมจากคลอรีน
          ผสมไข่ 1 ฟอง น้ำมันมะกอก 3 ช้อนชา และแตงกวาปอกแล้ว 1 ส่วน 4 ผล ชโลมบนเส้นผม ทิ้งไว้ 10 นาทีจึงล้างออก

ลบรอยด่างดำ
          การดื่มน้ำคั้นผลแตงกวาจะช่วยลดรอยด่างดำบนผิวหนัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งร่องรอยยุงกัด และให้ทาน้ำแตงกวาผสมน้ำลอยกลีบกุหลาบอัตราส่วนเท่าๆ กันด้วย

         ฟังสรรพคุณมามากแล้ว วันนี้ไปลองดื่มน้ำคั้นผลแตงกวากันดีกว่า
แตงกวา 2 ผลหรือแตงร้านหนึ่งผล น้ำ 2 ถ้วย น้ำแข็ง 1 ถ้วย น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะหรือตามชอบ น้ำมะนาวครึ่งผล ใส่เครื่องปั่นจนเป็นเนื้อเดียวกัน อาจใส่ผลไม้อื่นด้วยเช่นแคนทาลูปหรือแตงโม ถ้าใส่ผลไม้อื่นสามารถลดน้ำตาลได้อีกด้วย หรืออาจใช้น้ำเพียง 1 ถ้วย ปั่นแล้วเทใส่แก้วเติมโซดาเย็น 1 ถ้วยก็ได้

วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ประโยชน์ขององุ่นกับผิว

        
              วันนี้จะมาพูถึง สารสกัดจากเมล็ดองุ่น หรือ Grape Seed เชื่อว่าคนที่ทานอาหารเกี่ยวกับผิวคงจะเคยได้ยินหรือว่าได้ทานกันมาบ้างแล้วละ อาหารเสริมที่ผมว่าคือ  Grape Seed แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าจริงแล้วมันมีประโยชน์อะไรกับเราบ้าง แล้วกับผิวเราละมีประโยชน์อะไร ผมเลยเอามาฝาก ส่วนตัวผมก็ทานอาหารเสริมที่มีส่วนผสมตัวนี้อยู่เหมือนกันครับ โอเคเลยละ พลังองุ่น มาดูกันเลยครับว่าดีอย่างไรทำไมคนถึงเลือกที่จะทานกัน
  


             องุ่นแดง จัดเป็นราชินีแห่งผลไม้ทุกชนิด  สีแดงเข้มของผลองุ่นประกอบด้วยสารฟลาวโวนอยด์  ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ องุ่นแดงมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ  เช่น วิตามิน ซี, บี, โปรตีน, สารแอนโธไซยานิน, แมงกานีส, โปแตสเซียม และอื่น ๆ  มีแคลอรี่ต่ำ แต่ใยอาหารสูง  ช่วยป้องกันโรคหัวใจ, โรคมะเร็ง  เสริมสร้างร่างกายให้ต่อต้านเชื้อโรค และสมานแผลได้

             การวิจัย ที่ทำการทำลอง ถึงผลของการบริโภค องุ่นแดง ว่าสามารถ ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับกระดูก และ ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคกระดูกพรุน ได้หรือไม่ โดยทำการทดลองกับหนูซึ่งได้รับการทำหมัน ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุน และให้องุ่นแดงเสริมไปในอาหาร และทำการเปรียบเทียบกับหนูที่ไม่ได้รับองุ่นแดง หนูที่ได้รับอาหารปกติ แคลเซียมและแร่ธาตุในกระดูกลดลง และยังมีภาวะกระดูกเปราะมากกว่าหนูที่ได้รับอาหารปกติ แต่ในการบริโภคองุ่นแดง เพื่อป้องกันโรคกระดูกพรุนนั้น ต้องอยู่ปริมาณที่เพียงพอและเหมาะสม


             ในผลองุ่นมีวิตามินและสารอาหารมากมาย โดยเฉพาะที่เปลือกและเมล็ด อย่างที่เราเคยได้ยินถึงการสกัดน้ำมันจากเมล็ดองุ่นมาเป็นส่วนผสมในครีม บำรุงผิวหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต่างๆ น้ำมันนี้ช่วยให้ผนังหลอดเลือดแข็งแรง ลดความเสี่ยงต่อการจับตัวของก้อนเลือด และลดโคเลสเตอรอลชนิดแอลดีแอล (ไขมันไม่ดี) จึงช่วยป้องกันโรคเกี่ยวกับระบบเลือดและหัวใจได้ดี นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติช่วยลดริ้วรอยและทำให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่นมากขึ้น

             ส่วนวิตามินต่างๆที่พบในองุ่นนั้นก็มีมากมายหลายชนิด ทั้งวิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 และเกลือแร่ชนิดต่างๆ ซึ่งช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสดชื่นได้เร็ว ส่วนหนึ่งเพราะน้ำตาลในองุ่นเป็น น้ำตาลที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้เลย จึงช่วยเร่งการเผาผลาญในร่างกาย และกระตุ้นให้ตับทำหน้าที่ฟอกเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

             มีผลจากการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์แห่งเมืองนิวยอร์กพบว่า ในองุ่นจะมีสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่า Polyphenols ซึ่งส่วนใหญ่เราจะสามารถบริโภคได้ในรูปของน้ำองุ่นหรือไวน์แดง สาร Polyphenols นี้มีส่วนช่วยให้คนเรามีอายุสมองที่ยาวนานขึ้นและแข็งแรง ทำให้สามารถทำงานและจดจำสิ่งต่างๆได้เป็นอย่างดีถึงแม้จะอายุมากแล้วก็ตาม

เพิ่มคอลลาเจนด้วยสารสกัดจากเมล็ดองุ่น
              สารสกัดจากเมล็ดองุ่น หรือ Grape Seed นั้นได้จากส่วนผิวของเมล็ดองุ่นแดงชนิดเดียวกับที่นำมาทำไวน์ อุดมด้วยฟลาโวนอยด์และไฟโตเคมิคอล ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องเซลล์จากการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น  ฟลาโวนอยด์ในสารสกัดจากเมล็ดองุ่นที่สำคัญที่สุดคือ โพรอันโธอานิดินส์ (Proanthocyanidins) หรือ PCOs ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่ระบบไหลเวียนโลหิตทำให้เส้นเลือดแข็งแรงขึ้น ป้องกันการเกิดโรคหัวใจและโรคมะเร็ง

 ประโยชน์กับผิว
              ด้วยคุณประโยชน์จากสารสกัดใบองุ่นแดง ที่โดดเด่นในการป้องกัน และรักษาอาการบวมน้ำในร่างกาย ทั้งยังช่วยเพิ่มความกระชับแก่ผิว โดยยับยั้งการทำลายอีลาสตินใต้ผิวได้ถึง 90% เนื้อ ผิวกลับมีความกระชับ การไหลเวียนใต้ชั้นผิวดีขึ้น ผิวที่สวยงามจะต้องมีความยืดหยุ่น และแข็งแรง นอกจากนั้นผิวของเรายังต้องการสารต้านอนุมูลอิสระเพื่อป้องกันการทำลาย ผิวจากมลพิษรอบตัว รวมทั้งรังสียูวีด้วย

คอลลาเจน (Collagen) ประโยชน์กับผิว


              หลายคนคงเคยได้ยิน และผมเชื่อว่าหลายคนคงเคยทานมากันมั้งแล้ว สิ่งที่ผมจะพูดถึงคือ คอลลาเจน (Collagen) เอ้ แล้วไอ้ คอลลาเจน นี่มันมีประโยชน์กับผิวอย่างไร ทำไมคนถึงให้ความสนใจกันมากมายถึงขนาดนี้ ผมเลยไปหาคำตอบมาฝาก จะได้หายสงสัยหรือว่าใครก็ตามที่กินเข้าไปแต่ไม่รู้จริงว่ามีประโยชน์อะไร กับผิวเราอย่างไรบ้าง แล้วที่มามันมาจากอะไร ซึ่งตัวผมเองก็สนใจอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของ คอลลาเจนนี้เหมือนกัน มาดูกันเลยครับ เผื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจของใครหลายๆคนที่กำลังมองหาคอลลาเจนทานเหมือนผม


             คอลลาเจนคือโปรตีนชนิดหนึ่งของร่างกาย ทำหน้าที่เป็นตัวประสานเนื้อเยื้อของผิวหนังเชื่อมต่ออวัยวะทุกส่วนของร่างกายไว้ด้วยกัน ทั้งผิวพรรณกระดูกและผนังหลอดเลือด ร่างกายคนเราจะมีคอลลาเจนถึง 1 ใน 3 ส่วนของโปรตีนทั้งหมดที่มีอยู่ในร่างกาย

             คอลลาเจนไม่เพียงแต่เป็นส่วนประกอบหลักของชั้นผิวหนัง(เคราติน) ถึง 70% เท่านั้น อวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายของเราก็มีคอลลาเจนเป็นส่วนประกอบอยู่มาก เช่น กระดูกอ่อน เส้นเอ็น ข้อต่อ กระดูก

             เคราตินมีหน้าที่สร้างความแข็งแรงและความยืดหยุ่นให้ผิวหนังกระชับเรียบตึง ถ้ามีคอลลาเจนไม่เพียงพอสารเคราตินในชั้นผิวหนังจะลดลง จึงทำให้ผิวเกิดริ้วรอยแห่งวัย หย่อนคล้อย และขาดความชุ่มชื่น

คอลลาเจนเปปไทด์ (Collagen Peptide) ได้จากปลาทะเล

            คอลลาเจน เป็นโปรตีนที่มีโครงสร้างโมเลกุลขนาดใหญ่มากร่างกายสามารถดูดซึมได้ยาก จึงมีการนำคอลลาเจนมาผ่านกระบวนการไฮโดรไลซ์ คอลลาเจนจะแตกตัวเป็นลักษณะของเจลาติน และนำมากลั่นกรองให้เป็นคอลลาเจนเปปไทด์ ที่มีขนาดโมเลกุลที่เล็กกว่าขนาดโมเลกุลของคอลลาเจนปกติถึง 1/60 ช่วยให้ง่ายต่อการดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย

ประโยชน์ของคอลลาเจน

            คอลลาเจน (Collagen) มีรากศัพท์มาจากภาษากรีกคือ Kolla ซึ่งแปลว่ากาวคอลลาเจน เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่ประสานกันเป็นเส้นใยอยู่ใต้ชั้นผิวหนังแท้ ทำหน้าที่ เสริมความเรียบตึงให้แก่ผิวหนัง ทำให้ผิวหนังดูเรียบ เนียนในวัยเด็ก คอลลาเจน ยังไม่เสื่อมสลายและมีจำนวนมาก จึงทำให้เห็นว่าเด็ก ๆ หรือวัยรุ่นที่กำลังแตกเนื้อหนุ่มสาวมีผิวหนังที่เต่งตึง แต่เมื่อมีวัยมากขึ้น เส้นใย คอลลาเจน เหล่านี้จะเสื่อมสลายและมีปริมาณลดลง ทำให้ชั้นผิวหนังยุบตัวลง อันเป็นต้นเหตุของความเหี่ยวย่นและริ้วรอย ยิ่งสูงวัยขึ้นเท่าใด ริ้วรอยแห่งวัยก็เห็นชัดขึ้นเท่านั้น ริ้วรอยแรกที่มาเยือนที่เป็นที่รู้จักกันดีก็คือ รอยตีนกา เนื่องจากผิวหนังรอบดวงตามีความบอบบางมาก อีกทั้งกล้ามเนื้อรอบดวงตาก็เป็นกล้ามเนื้อวงกลม ไม่มีอะไรยึด ผิวรอบดวงตาก็เลยจะเหี่ยวมากกว่าที่อื่น

           อย่างไรก็ตาม เราสามารถเสริมสร้าง คอลลาเจน ให้แก่ร่างกายได้เพื่อลดรอยเหี่ยวย่น ด้วยการรับประทาน คอลลาเจน หรือ วิธีการฉีด คอลลาเจน เข้าใต้ชั้นผิวหนังแท้ แต่วิธีการฉีดนั้นค่อนข้างจะยุ่งยาก เพราะต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญ ดังนั้นวิธีการรับประทานจึงเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด

           คอลลาเจน มีส่วนช่วยในการป้องกันอวัยวะในร่างกาย และเชื่อมอวัยวะต่างๆ ให้อยู่ด้วยกัน ช่วยให้โครงสร้างของร่างกายแข็งแรง และยืดหยุ่นดี ช่วยให้ข้อต่อต่างๆ ขยับเคลื่อนไหวไปมาไม่ติดขัด โดยเฉพาะข้อต่อในการรับน้ำหนักและขยับเคลื่อนไหวในอิริยาบถต่างๆ เช่นเดินหรือวิ่ง เป็นต้นนอกจากนี้คอลลาเจนยังเป็นตัวช่วยให้ผิวพรรณเกิดความชุ่มชื้น เสริมความเรียบตึงให้กับผิวหนัง ทำให้ผิวดูเรียบเนียนกระชับ โดยทำงานคู่กับโปรตีนอีกชนิดหนึ่งที่ชื่อ “ อิลาสติน ” ( Elastin ) ในขณะที่ คอลลาเจน มีหน้าที่เสมือนโครงร่างผิว อีลาสติน ก็ทำหน้าที่ให้ความยืดหยุ่นแก่ผิว ควบคู่กันไปด้วย

           ร่างกายของคนเรานั้นจะมี คอลลาเจน หนาแน่นในวัยเด็ก และจะค่อยๆ เสื่อมสภาพลงตามกาลเวลา จึงเห็นได้ว่าเมื่ออายุมากขึ้น เส้นใยคอลลาเจน เหล่านี้จะเสื่อมสลาย ทำให้ชั้นผิวหนังยุบตัวลงอันเป็นสาเหตุของความเหี่ยวย่นและริ้วรอย รวมถึงการเกิดปัญหาข้อเสื่อม กระดูกเสื่อม อันเนื่องมาจาก คอลลาเจน ใน กระดูก ลดลง ทำให้ กระดูก ไม่สามารถรับน้ำหนักได้ ขาดความยืดหยุ่น เปราะหักง่าย เป็นต้น

          โดยพบว่าคนที่มีอายุ 25 ขึ้นไป จะมีปริมาณ คอลลาเจน ลดลงทุกปี ปีละ 1.5% อย่างไรก็ตาม เราสามารถเสริมสร้าง คอลลาเจน ให้ร่างกายได้ ด้วยการฉีด คอลลาเจน เข้าใต้ชั้นผิวหนังแท้ และอีกวิธีที่ง่ายและสะดวกคือ การรับประทาน คอลลาเจน เพื่อช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของชั้นผิวหนังและเพื่อเสริมให้กระดูกแข็งแรง ควรรับประทาน คลอลาเจน ควบคู่กับวิตามินซี เพราะจะช่วยให้คอลลาเจนถูกดูดซึมได้ดีขึ้น  และทานแคลเซียม เสริมจะช่วยป้องกัน ภาวะกระดูกพรุนได้